- อย่าไปอินPosted 20 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“สนธิรัตน์”ชี้ปมเสียงปริ่มน้ำเป็นปัจจัยสำคัญชี้ชะตารมต.พ้นเก้าอี้ส.ส.
ที่พรรคพลังประชารัฐ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการพิจารณาหลักเกณฑ์ผู้ที่ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากส.ส.ของพรรคนั้น ว่า ต้องดูหลายด้าน เพราะถ้าเสียงปริ่มน้ำมากๆ ก็ต้องดูปัจจัยหลายด้านประกอบกัน จะอยู่ระหว่างการหารือ หากมีการแต่งตั้ง ครม. แล้ว ต้องดูว่าบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นส.ส.หรือไม่ รวมถึงการจัดสรรบุคคลไปนั่งในตำแหน่งอื่นๆ เรามีคณะทำงานดูแลเรื่องนี้ ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การพิจารณาหลักเกณฑ์ต่างๆ ต้องจบภายในเดือน มิ.ย.นี้หรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นถึงขนาดนั้น เนื่องจากเรายังไม่เห็นร่างหลักเกณฑ์ตรงนี้ ดังนั้น ต้องมีการหารือในคณะทำงานก่อน ส่งเข้าชุดใหญ่ของพรรค เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องยึดหลักการเดียวกับทางพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องของแต่ละพรรคพิจารณา
เมื่อถามว่า มีแกนนำพรรค 2-3 คน พูดตรงกันว่าถ้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรี ต้องลาออกจาก ส.ส. ด้วยนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า เรายังไม่มีข้อสรุปถึงขนาดนั้น อาจเป็นความคิดเห็นของบางพรรคที่ทำแบบนั้น ส่วนตัวมองว่าต้องดูการบริหารจัดการและดูหมายเหมาะสมเพราะเราต้องวางโครงสร้างการบริหาร เดินไปด้วยกันได้หมด
เมื่อถามว่า กรณีที่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะต้องนำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาด้วยหรือไม่ว่า รัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส. นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า จะต้องมองว่าการขยับหรือปรับเปลี่ยน ต้องมีผลต่อการทำงานในสภาด้วย ไม่ได้มองว่าแค่ว่าใครออก ใครเข้า เพียงมิติเดียว อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป จนกว่าคณะทำงานจะกำหนดหลักเกณฑ์มาหลักการในการพิจารณาก็ต้องมี ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์และการบริหารงานแต่ละด้านด้วยอย่าไปยึดหลักว่าต้องซ้ายหรือขวา ต้องดูเป็นครั้งๆไป
“โดยส่วนตัวถ้าเป็นผมคงจะเลือกทางใดทางหนึ่งไม่มีใครอยากอยู่สองทาง เพราะว่ามันเหนื่อยมาก ต้องแยกแยะบทบาท ถ้าผมเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และได้เป็นรัฐมนตรี ผมลาออกแน่นอน เพราะผมแบกจ๊อบไว้ไม่ไหว แต่เมื่อเป็นเสียงปริ่มน้ำแบบนี้ ก็ต้องมีวิธีการบริหารงานในสภาด้วย ไม่ใช่จะมาดูว่ามีกี่เสียง ใครต้องออกหรือไม่ออก” นายสนธิรัตน์ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้ามีหลักเกณฑ์ออกมาว่าต้องลาออกตรงนี้ผู้ที่มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกทั้งหมดเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ต้องรอคณะทำงานทำเรื่องเสนอขึ้นมาก่อน แล้วนำไปหารือคณะกรรมการยุทธศาสตร์ก่อนเข้าคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันและยอมรับได้
นายสนธิรัตน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับรายชื่อ ครม.ของพรรคพลังประชารัฐนั้น ขณะนี้จบแล้ว ส่วนตนจะไปนั่งตำแหน่งใดนั้น เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังต้องจับตาความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐต่อจากนี้ว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค จำนวน 5 คน ได้แก่ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งมีชื่อเป็นรัฐมนตรีจะลาออกหรือไม่ เพื่อเปิดทางให้ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 20–24 คือ นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ นายยุทธนา โพธสุธน นายต่อศักดิ์ อัศวเหม นายชวน ชูจันทร์ และนายภิรมย์ พลวิเศษ ได้เลื่อนมาเป็น ส.ส. ซึ่งก่อนหน้านี้มีการหารือกันแบบไม่เป็นทางการว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคคนใดที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องลาออก
ขณะที่แหล่งข่าวจาก พปชร.ระบุว่า ตามธรรมเนียมต้องลาออก แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ สามารถโหวตออกเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้ รวมถึงสามารถโหวตไว้วางใจกรณีที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ ใน ครม.ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยกเว้นกรณีที่ตัวเองถูกอภิปราย ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ที่อาจมีความผิดได้
ขณะเดียวกัน นายสนธิรัตน์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำนโยบายว่า ขณะนี้ถือว่าโผ ครม. นิ่งแล้ว ตามที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ จากนี้ก็จะดูเพื่อเตรียมการแต่ไม่ต้องเร่งรีบ เพราะเวลายังมีและให้พรรคร่วมรัฐบาลมีเวลาเตรียมการคาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้ประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลถึงความพร้อมว่าจะพูดคุยกันได้เมื่อไหร่ ส่วนทางพรรคพลังประชารัฐจะแต่งตั้งคณะทำงานของพรรคไปพูดคุยอย่างเป็นทางการ โดยจะนำนโยบายของแต่ละพรรคที่คล้ายคลึงกัน มาจัดทำเป็นหมวดหมู่ แต่ต้องมีความยืดหยุ่น และลืมคำว่าพรรคไปบ้างหากทุกพรรคคงไม่ได้ถึง 100 เปอร์เซนต์ ได้แค่ 40 เปอร์เซนต์ก็ยังดี
You must be logged in to post a comment Login