- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด / โดย พญ.อัณณาช์ เตรียมอนุรักษ์
คอลัมน์ : โลกสุขภาพ
ผู้เขียน : พญ.อัณณาช์ เตรียมอนุรักษ์
หลายครั้งที่มีคนบ่นว่าเจ็บหน้าอก เราอาจจะนึกไปถึงโรคหัวใจ
แต่น้อยคนที่นึกต่อได้ว่า ที่จริงแล้วอาการเจ็บหน้าอกอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ความเป็นไปได้ที่ร้ายแรงที่สุดนั่นก็คือ “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” หรือที่เรียกว่า “หัวใจวาย” นั่นเอง
สาเหตุของโรคดังกล่าวเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือด ส่วนมากเป็นผลมาจากความเสื่อมตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ชายอายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 55 ปี หรือปัจจัยอื่นๆที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมเร็วกว่าปรกติ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน การสูบบุหรี่ ความเครียด ขาดการออกกำลังกาย และโรคทางพันธุกรรมบางอย่าง ทำให้ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ
วิธีสังเกตอาการผิดปรกติก่อนจะเกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
1.อาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก ถือเป็นอาการนำที่พบบ่อยที่สุด แต่ไม่ทุกคนที่จะมีอาการนี้ ส่วนมากมีลักษณะ แน่นตรงกลางหน้าอกเหมือนมีอะไรมาทับ อาจมีปวดร้าวไปที่คอ ขากรรไกร ไหล่หรือแขนด้านซ้าย อาการเจ็บหน้าอกเป็นมากและรุนแรง มักเป็นนานติดต่อกันมากกว่า 20-30 นาที นั่งพักแล้วไม่ดีขึ้น
2.มีอาการเหงื่อออก ใจสั่น หน้ามืด ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ในบางรายมีอาการหายใจหอบเหนื่อย จนถึงหมดสติ ไม่รู้สึกตัว โดยผู้ป่วยอาจไม่เคยมีอาการเจ็บหน้าอกนำมาก่อนก็ได้
ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นสัญญาณวิกฤตของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่ผู้ป่วยควรต้องรีบไปพบแพทย์
หรือเรียกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที
วิธีการรักษามี 3 วิธีคือ
1.การรักษาโดยใช้ยาละลายลิ่มเลือด แพทย์จะฉีดยาที่มีฤทธิ์ในการละลายเลือดที่แข็งตัว เพื่อสลายลิ่มเลือดที่อุดตันอยู่ที่เส้นเลือดแดงหัวใจ
2.การรักษาโดยการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน เป็นวิธีที่นิยมที่สุด ได้ผลการรักษาดีกว่าการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ผู้ป่วยไม่ต้องมีแผลผ่าตัด พักฟื้นไม่นาน แต่ต้องทำในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมห้องฉีดสีสวนหัวใจ ทีมแพทย์ พยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด
3.การรักษาโดยการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ส่วนมากทำในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบตันหลายเส้น และไม่สามารถทำการรักษาด้วยวิธีอื่นได้
อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการรักษาทุกขั้นตอนควรทำให้แล้วเสร็จภายใน 60-90 นาที เพื่อช่วยผู้ป่วยให้รอดพ้นจากการเสียชีวิต ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง และกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงคนปรกติมากที่สุด ที่สำคัญอย่าลืมว่าทุกนาทีที่ได้รับการรักษาช้าเท่ากับอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นด้วย
You must be logged in to post a comment Login