วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ลึกลับกว่านิยาย / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On September 5, 2016

คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

นักเขียนพบเรื่องประหลาดคดีการหายตัวลึกลับของผู้เช่าอาคารคนก่อนจึงนำมาใช้เป็นพล็อตเรื่องสำหรับแต่งนิยาย แต่แล้วจู่ๆตัวเขาเองก็หายตัวไปอย่างลึกลับอีกคน

เรื่องราวลึกลับสุดแสนประหลาดนี้เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆที่ชื่อซิลเวอร์พลุม รัฐโคโลราโด ตั้งอยู่ด้านหน้าของเทือกเขาร็อกกี้ ซึ่งแทบจะเป็นเมืองร้างเพราะมีประชากรอยู่ไม่ถึง 200 คน ปัจจุบันจึงนิยมเรียกซิลเวอร์พลุมว่าเป็นเมืองร้างที่ยังมีชีวิต

เมืองซิลเวอร์พลุมก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1864 เดิมเป็นจุดตั้งแคมป์ของนักขุดทอง แต่สิ่งที่นักแสวงโชคพบมีเพียงก้อนหินสีเทาอยู่ทั่วทั้งหุบเขา ไม่มีทองคำแม้แต่นิดเดียว หลายคนรู้สึกท้อแท้ในโชคชะตา แต่แล้วมีคนพบว่าก้อนหินสีเทาที่พวกเขาพบนั้นไม่ใช่ก้อนหินไร้ค่า เพราะมันคือแร่เงินบริสุทธิ์

ในยุคสมัยนั้นการผลิตเงินเหรียญใช้แร่ 2 ชนิดคือ ทองคำและเงิน การค้นพบแร่เงินจึงเหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่ไม่น้อยไปกว่าการพบทองคำ ผู้คนหลั่งไหลกันมาจำนวนมากจนเกิดเป็นเมืองและเรียกชื่อว่าซิลเวอร์พลุม แปลเป็นไทยก็ประมาณเมืองบ่อเงิน

มูลค่าของแร่เงินในสมัยนั้นแลกเปลี่ยนเป็นทองคำในอัตราส่วน 32 ต่อ 1 เช่น แร่เงิน 32 กรัม แลกทองคำได้ 1 กรัม นักเศรษฐศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่าการที่แร่เงินมีมูลค่าต่ำกว่าทองคำมากทำให้คนเลือกเก็บแต่เหรียญทองคำ ไม่ยอมรับเหรียญเงิน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนทองคำในอนาคต

ด้วยเหตุนี้เองส่งผลให้รัฐบาลดำเนินนโยบายตรึงมูลค่าแร่เงิน โดยกำหนดให้แลกเปลี่ยนเป็นทองคำในอัตรา 16 ต่อ 1 เพื่อให้ประชาชนยอมรับการใช้เหรียญที่ผลิตจากแร่เงิน

ซิลเวอร์พลุมรุ่งเรืองอยู่ได้ไม่กี่ปีก็เกิดเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในปี 1893 ประชาชนต่างแห่นำแร่เงินมาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำเนื่องจากมีความมั่นคงมากกว่าจนกระทั่งทองคำหมดคลัง เพราะทุกคนรู้ดีว่าแร่เงินไม่ได้มีมูลค่ามากเท่าที่รัฐบาลประกาศ ในที่สุดมูลค่าของแร่เงินที่แท้จริงก็เปิดเผยออกมา อุตสาหกรรมเหมืองแร่เงินพังทลายลง และผู้คนเริ่มอพยพออกจากเมืองซิลเวอร์พลุม

ค้นหาตัวเอง

ปี 1988 คีธ เรนฮาร์ด คอลัมนิสต์บทความกีฬาของหนังสือพิมพ์ชิคาโกเดลี่เฮรัลด์ ลาพัก 3 เดือนเพื่อเดินทางมาหาโอกาสใหม่ๆในชีวิตให้ตัวเอง เขามีความฝันอยู่ 3 เรื่องคือ ต่อสู้กับโรคกลัวความสูง ผจญภัยด้วยการปีนเขา และเขียนนิยาย

เทด ปาร์เกอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งชักชวนให้คีธมาลองใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองซิลเวอร์พลุม คีธบอกกับภรรยาว่าจะลองไปใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆระยะหนึ่ง หากทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีตามแผน เขาจะรับเธอและลูกไปอยู่ด้วย

คีธเปิดร้านขายของเก่าอยู่ไม่ห่างจากร้านกาแฟของเทดเท่าใดนัก อาคารที่คีธเช่านั้นเดิมเป็นร้านขายหนังสือของทอม ยัง ซึ่งหายตัวอย่างลึกลับพร้อมกับสุนัขคู่ใจเมื่อปีที่แล้ว

คีธหวังว่าบรรยากาศเงียบสงบของเมืองเล็กๆแห่งนี้จะทำให้เขามีสมาธิแต่งนิยายชั้นดีได้สำเร็จตามความฝัน อีกทั้งเบื้องหลังของเมืองซิลเวอร์พลุมคือเทือกเขาร็อกกี้ที่เขาสามารถใช้ฝึกปีนเขาและต่อสู้กับโรคกลัวความสูงได้สำเร็จ

ไปไม่กลับ

วันที่ 7 กันยายน 1987 ทอม ยัง เจ้าของร้านขายหนังสือในเมืองซิลเวอร์พลุม จูงสนัขคู่ใจเดินไปบอกกับเพื่อนบ้านว่าเขาจะเดินทางไปพักผ่อนที่ยุโรปสักพัก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นทอมอีกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านเลยไปนานหลายเดือน เจ้าของอาคารเห็นว่าทอมคงไม่กลับมาแน่ๆจึงประกาศให้เช่าอาคาร

คีธเช่าอาคารหลังนี้เมื่อฤดูร้อนปี 1988 หลังจากรู้เรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้เช่าคนก่อน เขาก็เกิดไอเดียนำมาใช้เป็นพล็อตเรื่องเขียนนิยาย โดยใช้ตัวละครชื่อกาย กิบซัม ซึ่งผสมผสานบุคลิกภาพของทอมและตัวเขาเอง

วันที่ 31 กรกฎาคม 1988 พรานป่า 2 คน พบโครงกระดูกมนุษย์และสุนัข มีรูกระสุนบนกะโหลกศีรษะของทั้งคนและสุนัข ตำรวจเดินทางไปยังที่เกิดเหตุพบปืนพกกระบอกหนึ่งตกอยู่ใกล้ๆ จากการสืบสวนพบว่าทอมซื้อปืนกระบอกหนึ่งเมื่อ 4 วันก่อนที่จะหายตัวไป

ตำรวจปิดสำนวนคดีทันทีว่าทอมสังหารสุนัขก่อนจะยิงตัวตายโดยไม่มีการพิสูจน์ว่ารูกระสุนบนกะโหลกมาจากปืนที่พบในที่เกิดเหตุหรือไม่ ขณะที่เพื่อนบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทอมไม่ใช่คนคิดสั้นถึงขั้นสามารถฆ่าตัวตาย และเขารักสุนัขตัวนั้นเหมือนลูก ไม่มีทางยิงสุนัขสุดรัก

ลาแล้ว ลาลับ

วันที่ 7 สิงหาคม 1988 คีธปิดร้านราว 16.00 น. ก่อนจะเดินไปหาเทดที่ร้านกาแฟพร้อมกับบอกว่าเขาจะออกไปปีนเขาเพนเดิลตัน ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกประหลาดใจคิดว่าคีธล้อเล่น เพราะตอนนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว การปีนเขาเพนเดิลตันและกลับลงมาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

คีธสั่งเสียกับเทดว่า หากถึงเวลา 22.00 น. แล้วเขายังไม่กลับมาให้แจ้งหน่วยกู้ภัยด้วย คีธเดินจากไปในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อสักหลาด และสวมรองเท้าผ้าใบ ซึ่งไม่ใช่ชุดที่จะปีนเขา และเขาไม่มีอุปกรณ์ยังชีพหรืออุปกรณ์ปีนเขาแม้แต่ชิ้นเดียว

เช้าวันรุ่งขึ้นคีธยังไม่กลับลงมา เทดแจ้งตำรวจและหน่วยกู้ภัย เครื่องบินเล็ก เฮลิคอปเตอร์ อาสาสมัครกว่า 100 ชีวิต และสุนัขดมกลิ่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ถูกนำออกมาใช้ตามหาคีธ แต่ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อย

วันที่ 12 สิงหาคม เครื่องบินเล็กประสบอุบัติเหตุตกบนเขาทำให้นักบินเสียชีวิตและเจ้าหน้าที่กู้ภัยบาดเจ็บสาหัส นายอำเภอจึงสั่งให้ยุติการค้นหา ตำรวจกลับมาสืบร่องรอยที่ร้านขายของเก่า พบนิยายที่คีธเขียนค้างเอาไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์

สร้างอินเนอร์

ย่อหน้าสุดท้ายที่คีธเขียนคือ “กาย กิบซัม เปลี่ยนไปใส่รองเท้าปีนเขา สวมเสื้อสักหลาด ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอะไรคือแรงบันดาลใจ กายปิดประตูก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปที่ป่าโคโลราโดอันเขียวชอุ่ม” ดูเหมือนว่าคีธทำแบบเดียวกับตัวละครของเขาในนิยาย เป็นไปได้ไหมว่าคีธออกไปปีนเขาเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม หาวัตถุดิบที่จะใช้เขียนนิยายบทต่อไป

ทิฟฟานี ลูกสาวของคีธ ออกความเห็นว่า นักประพันธ์หลายคนยึดติดกับตัวละครที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เพราะจะทำให้เขียนนิยายได้คล่องขึ้น บางทีพ่อของเธออาจอยากรู้ว่าตัวละครจะมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อเขาหายตัวไป

ผู้คนตั้งข้อสันนิษฐานต่างๆนานา บ้างก็ว่าคีธวางแผนให้ตัวเองเป็นคนสาบสูญเพื่อแอบไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้หญิงคนอื่นที่เขาพบในงานปาร์ตี้หลายวันก่อน แต่นั่นเป็นการเดาที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก เพราะคีธเป็นคนรักครอบครัว เขาคงไม่ทิ้งภรรยาและลูกเพื่อไปหาผู้หญิงที่เพิ่งพบกันเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม มีความไม่ชอบมาพากลในเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายอย่าง คีทและทอมอาศัยอยู่ในอาคารหลังเดียวกัน ทั้งคู่หายตัวไปอย่างลึกลับเหมือนๆกัน บางคนเชื่อว่าคีธและทอมอาจพบความลับอะไรบางอย่างในอาคารที่พวกเขาอาศัยอยู่ จึงทำให้พวกเขาถูกทำให้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

คดีของทอมถูกตำรวจรวบรัดปิดสำนวนอย่างมีความเคลือบแคลง ขณะที่คดีของคีธไม่สามารถสืบสวนหาสาเหตุหรือแรงจูงใจใดๆได้แม้แต่น้อย ไม่พบแม้แต่ซากเหมือนกับว่าคีธหายตัวไปกับสายลม คดีของทอมและคีธจึงเป็นคดีซ้อนคดีที่ยังคงเป็นปริศนา


You must be logged in to post a comment Login