วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

นวัตกรรมรถไฟฟ้า / โดย ณ สันมหาพล

On September 12, 2016

คอลัมน์ : โลกไม่หยุดนิ่ง
ผู้เขียน : ณ สันมหาพล

รัฐบาลปัจจุบันตั้งเป้าหมายว่าอีก 20 ปี หรือปี 2579 ประเทศไทยจะมีรถยนต์ไฟฟ้า 1.2 ล้านคัน ทั้งรถขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก รถส่วนตัว รถสาธารณะ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญ และเป็นศูนย์อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของโลก

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดูแนวโน้มการใช้รถยนต์ของโลกว่า ในอีก 20 ปี คนจะเปลี่ยนจากรถยนต์ส่วนตัวเพื่อเดินทางมาเป็นระบบขนส่งมวลชนซึ่งมีการก่อสร้างจำนวนมากตามเมืองใหญ่ทั่วโลก ทั้งรถไฟบนดินและใต้ดิน หรือรถยนต์โดยสารระยะไกล ซึ่งจะไม่ใช่รถยนต์ที่คุ้นเคยในปัจจุบัน เพราะจะมีการปรับปรุงด้านสมรรถภาพความเร็วและความสะดวกสบาย ไม่ต้องขับรถเองโดยมีคนขับ

ยังไม่รวมถึงระบบขนส่งทางอากาศ ซึ่งจะมีการพัฒนาอีกมากจนทุกเมืองจะมีสนามบิน ระบบขนส่งทางอากาศที่ไร้คนขับหรือโดรนจะเอื้อต่อการขนส่งสินค้าไม่ว่าใกล้หรือไกล ทำให้สามารถซื้อสินค้าโดยใช้โทรศัพท์มือถือหรือสั่งซื้อทางออนไลน์แล้วรอรับสินค้าที่จะถูกส่งมาทางโดรน เช่นเดียวกับจดหมายและพัสดุภัณฑ์ต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีระบบขนส่งแบบใหม่ที่เรียกว่า hyperloop หรือรถท่อลม ซึ่งเป็นรถขนาดเล็ก บรรทุกผู้โดยสารคนเดียวเดินทางไปสถานที่ต่างๆในชั่วพริบตาด้วยแรงดันลมในท่อ ซึ่งอาจมีการสร้างเชื่อมระหว่างเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อนักธุรกิจโดยเฉพาะ

แม้แต่รถจักรยานที่ทุกคนจะใช้เป็นพาหนะ ซึ่งคนหนึ่งอาจมีหลายคัน เพื่อขี่จากบ้านไปใช้บริการรถสาธารณะเพื่อเดินทางเข้าเมือง ขี่ไปทำงานในระยะทางใกล้ๆ ขี่ทางไกลเพื่อพักผ่อนและพบปะเพื่อนฝูง โดยจะมีเลนหรือถนนที่เป็นช่องทางจัดไว้โดยเฉพาะ

รวมถึงการขี่จักรยานลุยป่า โดยวนอุทยานทั่วโลกจะมีทางพิเศษสำหรับให้ผู้ใช้จักรยานได้สัมผัสธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระแสของโลกจนเป็นเรื่องปรกติเหมือนการชมภาพยนตร์และดนตรี ฯลฯ

เมื่อพฤติกรรมการใช้พาหนะของคนเปลี่ยน การใช้รถยนต์ก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย ไม่ใช่เพื่อเดินทางใกล้ไกลอีกต่อไป แต่ใช้กรณีจำเป็นเท่านั้น จะเปลี่ยนจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปมาเป็นรถไฟฟ้า แม้ไม่คล่องตัวและไม่ทนทานเท่ารถยนต์แบบเดิมแต่ก็เพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งาน ความนิยมรถไฟฟ้าจะมีมากขึ้นจนทดแทนรถยนต์แบบเดิม โดยเฉพาะการเดินทางระยะใกล้และใช้เพื่อการขนส่งที่มีน้ำหนักไม่มาก

แนวความคิดที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าจึงมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต แม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนาอยู่แล้ว แต่เป็นแค่ความคิดริเริ่ม อย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมทั้งด้านการเงินและบุคลากร

ปัจจุบันประเทศไทยมีรถยนต์จำนวนมากทั้งรถยนต์ส่วนตัวและรถสาธารณะ ถ้ามีการพัฒนาอย่างจริงจังก็จะเป็นรายได้สำคัญของประเทศทั้งการส่งออกและการดัดแปลง ซึ่งต้องใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญ โดยเริ่มแรกอาจใช้วิธีการดัดแปลงชิ้นส่วนต่างๆเพื่อนำมาประกอบเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อจะนำไปใช้ตามที่ต้องการ

โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นของคนไทยเอง ซึ่งหมายถึงการผลิตชิ้นส่วนต่างๆด้วย โดยสามารถให้ความรู้กับอู่รถยนต์และสถาบันการศึกษาต่างๆในแต่ละพื้นที่เพื่อสร้างโอกาสให้กับชุมชนและเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องสนับสนุนสถาบันการศึกษาด้านเงินทุนในการศึกษาวิจัยตามนโยบายของรัฐบาล

เพราะรถยนต์ไฟฟ้ามีกลไกการทำงานไม่ยุ่งยากเหมือนรถยนต์ที่ใช้ระบบสันดาป การประกอบก็ง่าย รวมถึงการดัดแปลงเพื่อนำมาใช้ในลักษณะต่างๆก็ทำได้ไม่ยาก อย่างที่สิงคโปร์เริ่มใช้รถแท็กซี่แบบไร้คนขับอยู่ขณะนี้

รถยนต์ไร้คนขับถือเป็นนวัตกรรมที่เป็นจริงในอนาคต ซึ่งเป็นการพัฒนาวิทยาการชั้นสูงโดยใช้ซอฟต์แวร์ควบคุมบังคับ เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถถ่ายทอดและแบ่งปันกันได้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ประเทศไทยจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์ไร้คนขับ

ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศว่าจะพัฒนาจริงจังหรือไม่ เพราะประเทศไทยมีพื้นฐานการผลิตรถยนต์อยู่แล้ว


You must be logged in to post a comment Login