- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
‘บอนไซ’การเมือง / โดย ลอย ลมบน
คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง
ผู้เขียน : ลอย ลมบน
การทำกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งแม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นทางการ
แต่ดูทรงจากข้อเสนอทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องในฝ่ายคุมอำนาจแล้วดูเหมือนจะพร้อมใจกันบอนไซพรรคการเมือง นักการเมือง ไม่ให้มีโอกาสเติบโต ได้รับความนิยมจากประชาชน
เมื่อพิจารณาจากข้อเสนอต่างๆจะเห็นว่าต้องการบอนไซฝ่ายการเมืองตั้งแต่แรกเกิด คือการจัดตั้งพรรคการเมือง
พยายามตัดทอนอำนาจทุนเพื่อไม่ให้คนมีเงินเข้ามามีอำนาจเหนือพรรคการเมือง ซึ่งตามหลักการถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะพรรคการเมืองควรเป็นของประชาชน ไม่ใช่ให้ใครชี้นิ้วสั่งได้เพราะเป็นคนจ่ายเงินทุนอุดหนุนพรรค
แต่ในทางปฏิบัติการทำพรรคการเมืองใครก็รู้ว่าต้องใช้เงินสูง
หากไม่มีนายทุนกระเป๋าหนักคอยให้การสนับสนุน โอกาสที่พรรคการเมืองนั้นจะดำรงอยู่หรือเติบโตก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
ความจริงเราไม่ควรรังเกียจนายทุนพรรคการเมือง หากนายทุนนั้นไม่ได้ลงเงินเพื่อหวังกอบโกยถอนทุนโดยอาศัยอำนาจที่ได้มาของพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง
การหาแนวทางควบคุมการโกงเพื่อถอนทุนเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่าการออกมาตรการสกัดกั้นเงินทุน
หากพรรคการเมืองไม่มีเงินทุนมากพอที่จะใช้ทำกิจกรรมต่างๆ จะทำให้เราได้พรรคเล็กกระจัดกระจายหลายพรรค
เหมือนสร้างบ้าน ถ้างบน้อยก็ได้บ้านหลังเล็กเป็นธรรมดา
ประการต่อมาที่จะนำมาใช้ควบคุมพรรคการเมืองที่พูดกันคือ คุมตั้งแต่การหาเสียง
ทั้งห้ามใช้นโยบายประชานิยมหาเสียงกับประชาชน หรือต้องส่งแนวนโยบายให้พิจารณาก่อนว่าอันไหนใช้หาเสียงได้ อันไหนใช้หาเสียงไม่ได้
ยังไม่รวมแนวคิดออกกฎหมายเพื่อควบคุมนโยบายประชานิยม ทั้งที่มีแนวนโยบายแห่งรัฐกำหนดในรัฐธรรมนูญตีกรอบให้พรรคการเมืองต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว
หากมีอะไรหลุดรอดก็ยังมีแนวคิดที่จะให้มีมาตรการลงโทษพรรคการเมืองที่ไม่สามารถทำตามนโยบายหลักที่ใช้หาเสียงได้
พรรคการเมืองในอนาคตจึงไม่ต่างจากต้นบอนไซที่ถูกคุมไม่ให้เติบใหญ่ แถมคุมรูปทรงให้เป็นไปตามที่ฝ่ายมีอำนาจในปัจจุบันต้องการอีกด้วย
นี่ยังไม่รวมระบบเลือกตั้งใหม่แบบจัดสรรปันส่วนที่จะทำให้คะแนนเสียงของพรรคการเมืองเป็นเบี้ยหัวแตก
จำนวน ส.ส. กระจัดกระจายกันไปตามพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งครองเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดในสภา
แม้จะชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ไม่ใช่แค่พรรคเดียวหรือ 2-3 พรรคอย่างที่เคยมีมา
การมีรัฐบาลผสมหลายพรรคก็เพื่อไม่ให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งมากเกินไป เพราะต้องคอยกังวลกับเสียงสนับสนุนในสภาด้วย
อนาคตของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปลายปีหน้าจึงจะเป็นรัฐบาลเป็ดง่อยที่ทำอะไรไม่ได้มาก
การเมืองหลังปฏิรูปจะวนกลับไปสู่จุดเดิมเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถทำอะไรได้มาก
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าแม้กฎหมายลูกเกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่ก็พอมองเห็นทิศทางแล้วว่าทุกอย่างจะเดินไปตามแนวทางนี้
ในอดีตเราเคยมีบทเรียนมาแล้วจากการมีรัฐบาลผสมหลายพรรค ทำให้มองเห็นจุดอ่อนของการเมือง
จึงคิดแก้ไขด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อให้การเมืองมีความเข้มแข็ง ให้พรรคการเมืองเติบโต เพื่อจะได้เกิดความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ ไม่ต้องยุบสภาเลือกตั้งกันบ่อยๆ การพัฒนาประเทศจะได้ไม่หยุดชะงัก
พัฒนาการทางการเมืองกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี จะเหลือแค่ 2 พรรคใหญ่ให้ตัดสินใจเลือกเหมือนกับการเมืองในประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ
วันนี้เราบอกว่าต้องสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆ ประชาธิปไตยที่เป็นของเราเอง เปรียบประชาธิปไตยเป็นเสื้อว่าตัดเสื้อตัวเดียวไม่สามารถให้คนทั้งโลกใส่ได้
ทั้งที่เรามีบทเรียนจากอดีต มีข้อผิดพลาดที่เป็นกรณีศึกษา
แต่วันนี้เราจะเลือกเดินกลับไปสู่จุดเดิม ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงและเป็นเดิมพันใหญ่
ถ้าการเมืองกลับไปเละเทะเหมือนก่อนใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 คิดจะแก้ไขก็ทำได้ยาก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับผ่านประชามติมีข้อกำหนดให้แก้ไขได้ยากมาก
หากจะแก้ไขหรือปฏิรูปอะไรใหม่ แนวทางที่ง่ายที่สุดคือยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งแล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
แล้วใครล่ะที่มีศักยภาพพอที่จะฉีกรัฐธรรมนูญ
You must be logged in to post a comment Login