- ปีดับคนดังPosted 17 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ลด‘ดอกเงินกู้’ช่วย SMEs / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
เห็นรัฐบาลพยายามจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมจึงขอเสนอหนทางที่ง่ายที่สุดในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การลดดอกเบี้ย ถ้ารัฐบาลทำได้ SMEs ที่ทำบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม รวมทั้งชาวบ้านที่ซื้อบ้านก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย ช่วยกันคิดนะครับ
ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ต่างๆอยู่ที่ประมาณ 1-1.5% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารกลับสูงถึง 6-8% โดยเฉลี่ย
จะเห็นได้ว่าช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากห่างกันเหลือเกิน การที่บริษัทพัฒนาที่ดินรายกลางและรายย่อย รวมทั้งผู้ซื้อบ้านซึ่งส่วนมากเป็นประชาชนทั่วไป ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยสูงๆ จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะงอกเงย เศรษฐกิจของประเทศก็จะตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูล ณ สิ้นปี 2538 ฐานะของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,194,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการจัดสรรกำไรครึ่งแรกของปี 2558 เป็นเงินกองทุน ทั้งนี้ การเพิ่มทุนและการออกตราสารที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 (Tier-2) ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier-1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.3% และ 14.4% ตามลำดับ
เงินสำรองต่อสำรองพึงกันเพิ่มขึ้นจาก 153.6% เป็น 156.3% ส่งผลให้ระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงในไตรมาส 3 ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรจากการดำเนินงาน 370,200 ล้านบาท แต่มีกำไรสุทธิ 192,300 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน (http://bit.ly/29SG7tM)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอเป็น “กระบอกเสียง” ให้ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ซื้อบ้าน เพื่อขอให้รัฐบาลสั่งให้สถาบันการเงินทั้งหลายลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง เช่น ลดลง 2% จาก 7% เหลือ 5% ก็ยังทำให้สถาบันการเงินได้กำไรมากมาย และสถาบันการเงินสามารถตัดค่าใช้จ่ายบางอย่างซึ่งเป็นเสมือน “ไขมันส่วนเกิน” ออกไปบ้าง เพื่อจะได้บริหารงานให้ได้กำไรมหาศาลดังเดิม
เพียงแค่รัฐบาล “ขอร้อง” ผมก็เชื่อว่าสถาบันการเงินทั้งหลายคงเชื่อฟังด้วยดี คงไม่ต้องรบกวนนายกรัฐมนตรีใช้ “มาตรา 44” กับสถาบันการเงินนะครับ
การใช้มาตรา 44 ช่วยชาวบ้าน จะได้กุศลแรงกว่าใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือในทางการจัดการทางการเมือง เพราะชาวบ้านจะได้สาธุ
หากรัฐบาลอยากจะปฏิบัติการอย่างละมุนละม่อมกว่านั้น ผมก็เสนอให้สถาบันการเงินจากภายนอกประเทศมาเปิดสาขาให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าถ้ามีการแข่งขันที่สมบูรณ์ ดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะถูกลงมาเอง แต่ทุกวันนี้สถาบันการเงินเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาดเสมือน “เสือนอนกิน” ผลร้ายจึงตกแก่ประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ โปรดช่วยประชาชนด้วยนะครับ ยังไงก็โปรดฟังผมในฐานะ “เสียงนกเสียงกา” ที่พูดแทนประชาชน พวก “นักวิชาเกิน” คงได้แต่เลีย ไม่กล้าบอกความจริงกับท่านเช่นผมหรอกครับ
You must be logged in to post a comment Login