- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ยุคการเมืองพลิกผัน? / โดย ณ สันมหาพล
คอลัมน์ : โลกไม่หยุดนิ่ง
ผู้เขียน : ณ สันมหาพล
นักสังเกตการณ์การเมืองทั่วโลกต่างวิเคราะห์ว่า โลกกำลังเผชิญปัญหาการเมืองพลิกผันและวิตกถึงภัยใหม่ที่จะตามมา เพราะอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนอย่างที่เคยเกิดในหลายประเทศช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
ตัวอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นและเห็นชัดที่สุดคือ กรณีการลงประชามติออกจากการเป็นสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรปของอังกฤษ แม้คะแนนระหว่างคนเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยไม่ห่างกันนัก แต่ใครจะคิดว่าคนอังกฤษที่ได้ชื่อว่ามีความรู้ความเข้าใจการเมืองลึกซึ้ง ทั้งยังได้รับข่าวสารที่มีอย่างกว้างขวาง จะตัดสินใจทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการทูต
ถ้าจะพูดอีกอย่างคือ คนอังกฤษไม่ต้องการให้ประเทศตัวเองเป็นมหาอำนาจอีกต่อไป ต้องการให้ออกมาอยู่โดดเดี่ยวและเลิกยุ่งเกี่ยวกับโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับอังกฤษในอดีต
นอกจากนี้ยังมีการเมืองที่พลิกผันคือ การชนะเลือกตั้งของบรรดานักการเมืองหญิงในหลายประเทศจนกลายเป็นกระแสทั่วโลก เช่น ที่มหานครโตเกียวได้เลือกผู้หญิงให้เป็นนายกเทศมนตรีเป็นครั้งแรก ขณะที่ไต้หวันและเมียนมาร์ก็มีผู้หญิงเป็นผู้นำของประเทศ รวมถึงอังกฤษก็ได้นายกรัฐมนตรีหญิงอีกครั้ง
ที่กำลังถูกจับตามองมากที่สุดคือ โอกาสที่นางฮิลลารี คลินตัน จะได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์สหรัฐและประวัติศาสตร์โลก เพราะฮิลลารีจะเป็นผู้นำหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก หลังจากเมื่อศตวรรษที่ 18 สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษได้รับการยกย่องมาก่อนหน้านี้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐถูกจับตามองอย่างมาก เพราะหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งก็จะเกิดการพลิกผันทางการเมืองของสหรัฐและของโลกอย่างมากมายเช่นกันหากทรัมป์ทำตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งจะเกิดการปฏิรูปนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีจริงจะไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามคนมุสลิมเข้าสหรัฐ หรือเนรเทศคนหลบหนีเข้าเมือง การหาเสียงแบบสุดโต่งทำให้ได้คะแนนนิยมไม่น้อย แต่ก็ทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ รวมถึงประชาคมโลก
หรือการปรับนโยบายใกล้ชิดกับรัสเซีย ซึ่งถือเป็นประเทศคู่อริมายาวนาน โดยมองว่าการเข้าไปของสหรัฐก็เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เพราะหากเศรษฐกิจรัสเซียกลับมาเฟื่องฟูสหรัฐก็ต้องได้ผลประโยชน์เช่นกัน เหมือนกรณีที่สหรัฐเข้าไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับจีน
นักวิเคราะห์เชื่อว่าการพลิกผันทางการเมืองของโลกทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิด ผนวกกับกระแสโลกาภิวัตน์และเศรษฐกิจทุนนิยม จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำ การอพยพเข้าเมืองของแรงงานต่างชาติและการขยายอิทธิพลของกลุ่มคนมีเงินและมีความรู้จะเป็นกระแสใหม่ของโลก ซึ่งประเทศตะวันตกต่างก็ปรับตัวรับกระแสนี้
แม้เศรษฐกิจยุโรปจะยังไม่สามารถผ่านวิกฤตได้ อัตราการว่างงานยังสูง และปัญหาความเหลื่อมล้ำจากกระแสผู้อพยพ ก็ยิ่งทำให้นโยบายทางการเมืองเปลี่ยนไปในหลายประเทศ ไม่ใช่เฉพาะที่อังกฤษเท่านั้น
โดยเฉพาะสหรัฐที่ทั่วโลกกำลังติดตามดูว่าจะเกิดการพลิกผันครั้งใหญ่หรือไม่ ไม่ว่าฮิลลารีหรือทรัมป์จะได้เป็นผู้นำคนใหม่ แนวความคิดทางการเมืองจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะประชาชนที่ไม่เห็นด้วยที่สหรัฐจะเข้าไปมีบทบาทต่างๆของโลกอย่างในอดีต
ขณะที่หลายประเทศก็มีการเมืองแบบสุดขั้ว โดยเฉพาะในเยอรมนีกับการก้าวขึ้นมาของพรรค the Alternative for Germany หรือพรรคทางเลือกสำหรับเยอรมนี ซึ่งต่อต้านการอพยพเข้าเมืองและสนับสนุนการปกครองแนวอนุรักษ์นิยมผสมประชานิยม
ส่วนในฝรั่งเศสมีพรรค Front National หรือแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งมีหัวหน้าพรรคเป็นผู้หญิงชื่อ Marine Le Pen มีนโยบายต่อต้านการอพยพเช่นกันและสนับสนุนให้กลับไปสู่ระบบเศรษฐกิจผูกขาด โดยใช้แรงงานคนในพื้นที่ ไม่ใช่แรงงานอพยพ
กระแสผู้หญิงเป็นใหญ่ในโลก ไม่ว่าสหรัฐ ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ ไม่ใช่เฉพาะกระแสการเมืองโลกที่พลิกผันเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงระบบเศรษฐกิจที่กำลังกลับไปเป็นแบบอนุรักษ์นิยมดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับกระแสโลกาภิวัตน์และอาจทำให้หลายประเทศถึงขั้นหายนะ
You must be logged in to post a comment Login