วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ศาสนภิบาล! / โดย บรรจง บินกาซัน

On October 10, 2016

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ถ้าคนเป็นเศรษฐีมีเงินมหาศาลคิดจะเปิดกิจการหรือทำธุรกิจบางอย่าง เศรษฐีส่วนใหญ่มักจะไม่ลงมาทำด้วยตัวเอง แต่จะหาคนมีฝีมือและไว้วางใจได้มาเป็นผู้บริหารกิจการของตน โดยให้ค่าตอบแทนอย่างสูงพร้อมกับผลประโยชน์อื่นๆอีกมากมายเป็นสิ่งจูงใจ

แต่ถ้าวันหนึ่งผู้จัดการหรือผู้บริหารกิจการของเศรษฐีคนนั้นเข้ายึดกิจการของเศรษฐี หรือใช้ทรัพย์สินในธุรกิจไปในทางที่เสียหาย ขัดกับเจตนารมณ์ของเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง อะไรจะเกิดขึ้น สติปัญญาอันน้อยนิดของเราทุกคนคงคิดได้ และถ้าท่านเป็นเศรษฐีคนนั้นท่านจะคิดและจะทำอย่างไรกับผู้บริหารคนนั้น?

ปัญหาเช่นนี้มักเกิดขึ้นในทุกวงการที่คนในวงการนั้นไม่รู้จักสถานภาพของตัวเอง ถ้าเสนาบดีสำคัญผิดในสถานะของตนเองและคิดคดทรยศต่อกษัตริย์ โทษก็คือประหารสถานเดียว ถ้าเกิดขึ้นในวงการธุรกิจ โทษของผู้บริหารก็คือถูกไล่ออกและอาจโดนคดีอื่นๆตามมา

การรู้จักสถานภาพ บทบาทและหน้าที่ของตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานที่ราบรื่นและก้าวหน้า ไม่ว่าจะทำกิจการงานใดๆก็ตาม เช่นเดียวกันเมื่อมนุษย์มาอยู่ในโลกนี้ การรู้จักสถานภาพ บทบาทและหน้าที่ของตนเอง ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมีชีวิตที่ราบรื่นในโลกนี้และประสบความสำเร็จในโลกหน้า

ถ้าผู้บริหารกิจการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เป็นเจ้าของกิจการและผู้ร่วมงานที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาด้วยการวางตัวอย่างถูกต้อง ผู้บริหารคนนั้นจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ

เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์รอบข้าง มนุษย์ผู้นั้นก็จะได้รับความสำเร็จในชีวิตโลกนี้และชีวิตโลกหน้า ศาสนาจึงสอนถึงความสัมพันธ์ 2 ด้านให้แก่มนุษย์ นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งถูกสร้างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ นั่นคือ มนุษย์ด้วยกันและธรรมชาติอื่นๆรอบตัวเขา

คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานพูดถึงเรื่องการสร้างมนุษย์ไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์และบอกให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระเจ้ามีสถานะเป็นนายผู้มั่งคั่งและทรงอำนาจ ส่วนมนุษย์มีสถานะเป็นบ่าว ดังนั้น หน้าที่ของบ่าวจึงต้องเชื่อฟังนาย ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาคือความมั่งคั่งที่พระเจ้ามอบให้แก่มนุษย์มาใช้สอยเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์เองถ้ามนุษย์ใช้มันอย่างถูกต้อง

คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์เพื่อเป็น “ตัวแทน” ของพระองค์บนแผ่นดิน ตัวแทนในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ประสงค์ให้มนุษย์เป็นพระเจ้าแทนพระองค์ และพระองค์ยังบอกไว้อีกว่า ถ้าจักรวาลนี้มีพระเจ้า 2 องค์ มนุษย์จะได้เห็นความปั่นป่วนวุ่นวายในจักรวาลและหายนะจะเกิดขึ้นกับมนุษย์เอง

ความเป็นตัวแทนในที่นี้หมายถึงพระองค์ไว้วางใจมนุษย์หลังจากที่พระองค์ประทานความรู้ความสามารถให้ และด้วยความรู้ความสามารถนี้เองที่พระองค์ได้มอบอำนาจให้มนุษย์ใช้ทรัพยากรบนโลกใบนี้เพื่อสร้างความเจริญขึ้นบนแผ่นดินตามกฎที่พระองค์กำหนดไว้

ไม่ต่างอะไรไปจากตัวแทนพระมหากษัตริย์ที่ได้รับราชสาสน์ให้ไปทำหน้าที่บางอย่างแทนพระมหากษัตริย์ก็ต้องทำหน้าที่ตามพระราชสาสน์ จะไม่ทำ หรือทำบางส่วน ไม่ทำบางส่วน หรือทำเกินกว่าที่กำหนดไว้ไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคำสอนของศาสนาจึงเตือนมนุษย์ให้เกรงกลัวพระเจ้าผู้ทรงอำนาจและปฏิบัติหน้าที่ที่พระเจ้ามอบให้ด้วยความสังวรตน และยังได้หยิบยกเรื่องราวของชนชาติหรือกลุ่มชนในอดีตที่มีความมั่งคั่งเข้มแข็งแต่ลืมสถานะของตนเองจนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าและมนุษย์ ในที่สุดชนชาติเหล่านั้นได้ถูกทำลาย

เรื่องราวต่างๆในคำสอนของศาสนามีภูมิปัญญาสำหรับการปลูกฝังคุณธรรมขึ้นในจิตใจของมนุษย์ ถ้าหากจิตใจไม่มีคุณธรรมก็อย่าได้หวังว่าธรรมาภิบาลจะเกิดขึ้น

น่าอนาถที่ผู้รับผิดชอบการพัฒนามนุษย์เข้าใจว่าศาสนาเป็นเรื่องล้าสมัย และเป็นแค่พิธีกรรมที่ทำโดยคนบางกลุ่มในบางเวลาและในศาสนสถานเท่านั้น ทั้งๆที่หลักธรรมคำสอนของศาสนามีไว้ให้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เคราะห์กรรมจึงเกิดขึ้นกับสังคม


You must be logged in to post a comment Login