- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 1 month ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 1 month ago
- โลกธรรมPosted 1 month ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 1 month ago
- สลายความเกลียดชังPosted 1 month ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 1 month ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 1 month ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 1 month ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 1 month ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 1 month ago
การปรับตัวศาสนาในโลกสมัยใหม่ / โดย สุรพศ ทวีศักดิ์

คอลัมน์ : ทรรศนะแสงสว่าง
ผู้เขียน : สุรพศ ทวีศักดิ์
เห็นข่าวว่าสถิติคนนับถือพุทธศาสนาโดยภาพรวมในโลกลดลง วิเคราะห์กันว่าเพราะพระขาดความรู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในการเผยแผ่พุทธศาสนาเท่าที่ควร จึงมีการเสนอให้พระควรเรียนรู้การใช้สื่ออินเทอร์เน็ตในการเผยแผ่พุทธศาสนาและเผยแผ่เชิงรุกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่บ่งบอกว่าคนนับถือศาสนาอะไรมากอะไรน้อยไม่สามารถใช้วัดในเชิง “คุณภาพ” ได้ว่าจำนวนคนที่นับถือศาสนาตามสถิติตัวเลขนั้นๆเป็นเพียงนับถือศาสนาตามทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน หรือนับถือศาสนาอย่างมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาคำสอนของศาสนาและนำมาปฏิบัติในการดำเนินชีวิตจริงๆ
อีกอย่างเวลาพูดเรื่อง “การเผยแผ่ศาสนาในเชิงรุก” ในบริบทโลกสมัยใหม่ ย่อมเกิดคำถามว่าควรเผยแผ่ศาสนารุกเข้าไปในพื้นที่แบบไหนได้บ้าง
เพราะบรรทัดฐานของสังคมสมัยใหม่ถือว่าต้องแยกศาสนาจากรัฐ การเมือง และพื้นที่สาธารณะ (public sphere) เรื่องการปกครอง แนวนโยบายแห่งรัฐ และการอภิปรายถกเถียงในเรื่องสาธารณะต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องยึด “หลักการสากล” ที่ใช้ได้กับคนทุกศาสนาและคนไม่มีศาสนาอย่างเสมอภาคกัน
ฉะนั้นจึงอ้างศาสนาที่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลมาเกี่ยวข้องกับการเมือง แนวนโยบายแห่งรัฐ และการถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะต่างๆ ที่จะนำไปสู่การออกกฎหมายไม่ได้
แต่ในสังคมไทยปัจจุบัน ศาสนารุกเข้าไปในพื้นที่ของรัฐ การเมือง และพื้นที่สาธารณะ จนสับสนไปหมด เช่น ศาสนาถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ความมั่นคง องค์กรศาสนาเป็นองค์กรของรัฐ มีหน้าที่เป็นกลไกตอบสนองนโยบายรัฐ ศาสนาถูกบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้เป็นศาสนาที่รัฐต้องอุปถัมภ์คุ้มครองและส่งเสริมการเผยแผ่
นอกจากนี้ศาสนายังรุกเข้าไปในพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เช่น ในพิธีการของรัฐ หน่วยงานราชการต่างๆ ในโรงเรียน โดยหลักสูตรการศึกษาของชาติบังคับเรียนศาสนาในโรงเรียน ฯลฯ
คำถามคือ เมื่อศาสนาในสังคมไทยรุกเข้าไปในทุกพื้นที่เช่นนี้ ทำไมจึงมีความกังวลว่าคนจะนับถือพุทธศาสนาน้อยลง หรือยังคิดว่าต้องเผยแผ่ศาสนาในเชิงรุกมากขึ้นอีก
มีคนรุ่นใหม่เลือกที่จะไม่นับถือศาสนามากขึ้น เหตุผลหนึ่งของพวกเขาคือ การบังคับเรียนศาสนาในโรงเรียนเป็นการไม่เคารพเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่จะเลือกเรียนรู้ศาสนาอย่างอิสระ และเนื้อหาวิชาศาสนาก็น่าเบื่อ ไม่มีประโยชน์ต่อการส่งเสริมศีลธรรมในโลกสมัยใหม่ เพราะศีลธรรมแบบศาสนาไม่ได้สร้างสำนึกเคารพ ปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของมนุษย์
ศีลธรรมแบบศาสนามุ่งเน้นการทำความดีเพื่อความสุขส่วนตัว เช่น ศาสนาสอนว่าเมื่อนำศีลธรรมไปปฏิบัติแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุขความเจริญ ตายไปก็ได้ขึ้นสวรรค์ กระทั่งหลุดพ้นจากกิเลส ซึ่งไม่เกี่ยวใดๆกับสำนึกทางสังคม เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐจึงไม่ควรบังคับเรียนศาสนา ปล่อยให้ศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชนที่จะเลือกเรียนรู้เอง
ฉะนั้นปัญหาจริงๆไม่ใช่อยู่ที่ประเด็นว่าไม่เผยแผ่ศาสนาในเชิงรุก แต่อยู่ที่ศาสนารุกเข้าไปในพื้นที่ของรัฐ การเมือง หรือรุกเข้าไปในพื้นที่สาธารณะมากเกินไป
หากพิจารณาเจตนารมณ์ของพุทธะ การเรียนรู้ธรรมะหรือศีลธรรมพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องที่ควรบังคับยัดเยียด หากเป็นเรื่องที่ควรปล่อยให้เป็นอิสระที่ปัจเจกแต่ละคนจะเลือกเรียนรู้ตามศรัทธาของตนเอง คนที่เรียนรู้ศาสนาอย่างอิสระตามศรัทธาของตนเองเท่านั้นจึงจะเป็นศาสนิกที่มีคุณภาพและมีศีลธรรมแบบศาสนาในการดำเนินชีวิตประจำวันได้จริง
ศีลธรรมและพิธีกรรมศาสนาที่บังคับยัดเยียดในโรงเรียนได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ เช่น โรงเรียนบางแห่งออกกฎให้นักเรียนต้องแต่งชุดขาวไปโรงเรียนทุกวันพระ ทำให้วันพระซึ่งควรเป็นเรื่องของพระกลายเป็น “สัญญะเชิงอำนาจ” ที่ใช้บังคับเด็กๆว่าต้องแต่งกายแบบไหน วิธีการเช่นนี้ไม่น่าจะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อศาสนาได้
การบังคับยัดเยียดให้เรียนศีลธรรมศาสนาในโรงเรียน นอกจากจะไม่ได้ช่วยสร้าง “ศีลธรรมเชิงสังคม” ที่ยึดโยงอยู่กับสำนึกเคารพปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคแล้ว ยังขัดกับแนวทางของพุทธะเองที่ถือว่าเรื่องเรียนรู้ศาสนาจะบังคับกันไม่ได้ และขัดกับหลักเสรีภาพทางศาสนาในสังคมสมัยใหม่อีกด้วย
เท่ากับว่านอกจากจะไม่ทำตามเจตนารมณ์ของพุทธะแล้ว ยังสะท้อนว่าศาสนาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่อีกด้วย
พูดอย่างถึงที่สุด ปัญหาคนนับถือพุทธศาสนาน้อยลงไม่ได้เกิดจากพระไม่เผยแผ่เชิงรุก แต่เกิดจากการไม่ตั้งคำถามว่าศาสนาในโลกสมัยใหม่ควรจัดวางตำแหน่งแห่งที่และบทบาทของตัวเองอย่างไร
ถ้าไม่รู้ว่าตนเองควรจะยืนอยู่ตรงไหนและมีบทบาทอย่างไรในโลกสมัยใหม่ ศาสนาเองนั่นแหละจะกลายเป็นปัญหา เป็นภาระของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ
You must be logged in to post a comment Login