วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ระวัง ‘ผัสสะ’! / โดย พระพยอม กัลยาโณ

On October 24, 2016

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

“ผัสสะ” ตามหลักศาสนาคือการกระทบ การถูกต้องที่ให้เกิดความรู้สึก ทำให้เกิดทิฐิต่างๆ เปลี่ยนแปลงทิฐิคือความคิดเห็น ชีวิตคนก็เปลี่ยนได้ เช่น คนไปอยู่ในกลุ่มที่สรวลเสเฮฮา อบายมุขเต็มไปหมด ก็จะไปชื่นชมนิยมอบายมุขเป็นธงนำของชีวิต

เหมือนยุคที่เขาปลูกฝิ่นกันเยอะ ในยุคนั้นคนจะเห็นว่าฝิ่นทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย เขากิน เขาสูบแล้วมีความสุข บางคนที่บอกว่ากินเหล้า เขาก็จะมีสมาชิกมีกลุ่มของเขาที่คล้อยตามกัน เพราะเห็นเขาดื่ม มีความสรวลเสเฮฮาสนุกสนานก็ไปแบบหนึ่ง แต่ถ้าเมาแล้วเห็นเขาฆ่ากันตาย วุ่นวายไปหมด ก็อาจจะเปลี่ยนความคิดว่าใช้ไม่ได้

ทั้งหมดมันอยู่ที่ผัสสะ คือกระทบพบเห็นอย่างไร ได้ดูข้างตา ได้ฟังข้างหู ก็จะนิยมชมชอบอย่างนั้น แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยสัมผัสเรื่องทางเพศ เรื่องกามารมณ์ พอไปสัมผัสบ่อยๆมากๆก็มีแข่งขัน ชวนกันทำแล้วเกิดความรู้สึกเป็นสุข เขาก็จะมีทิฐิของเขาว่า ชาตินี้จะต้องมีความสุขกับเรื่องพรรค์นี้ไปตลอดภพตลอดชาติ ไม่คิดจะถอนตัวหรือลดปริมาณต่างๆ มีแต่จะทะเยอทะยานต้องการสูงขึ้นๆ หาวิธีการอะไรต่างๆให้ได้มากขึ้น จนกระทั่งเป็นทาสไปตลอดชีวิต คือเห็นว่าชีวิตขาดเรื่องนี้ไม่ได้

แม้กระทั่งเรื่องปัจจุบันนี้ อาตมาก็รู้สึกว่า มีคนมาพูดว่าเมื่อก่อนเขาก็เฉยๆเรื่องในหลวง อะไรต่างๆ แต่เมื่อมีการเอาภาพเก่าๆของพระองค์ที่เสด็จช่วยเหลือประชาชนที่นั่นที่นี่ แล้วมีเอาคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือแล้วมีความสุข มีความเจริญจนทุกวันนี้ เห็นพระองค์ทำอะไรต่างๆ ที่ไม่รู้ ไม่เคยสัมผัส พระองค์เดินเร็วจนทหารเดินตามไม่ทัน ขึ้นป่าขึ้นเขา มีเรื่องเล่าเรื่องความดีของพระองค์ท่านจากคนนั้นคนนี้ ก็จะศรัทธาชื่นชมต่างๆ

เรื่องชอบไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ จนวันตายก็มาจากผัสสะทั้งสิ้น ผัสสะจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดทฤษฎีต่างๆ เกิดทิฐินานาชนิด ทั้งมิจฉาทิฐิและสัมมาทิฐิ ทั้งวิมุติหลุดพ้นจากเรื่องต่างๆ บางคนผัสสะธรรมะ ฟังไม่กี่ครั้งกี่หน ก็โลดแล่นหลุดพ้นไปก็มี

เป็นมิจฉาวิมุติคือไม่หลุดพ้น เอาเหล้ายามากินให้มันเคลิบเคลิ้ม พวกนี้ก็เป็นมิจฉาวิมุติ เพราะมีสิ่งแวดล้อมที่ผัสสะมาแบบนี้ บางคนพอเห็นเขาทำอย่างนี้ สิ่งแวดล้อมอย่างนี้ อาจไม่ชอบเสื้อผ้าชุดดำ แต่พอเห็นเขาแต่งดำพรึ่บไปหมดก็อาจจะลองใส่ จากที่ไม่ชอบก็ชอบได้

มันก็เหมือนแดงบางคนก็เปลี่ยนไปเหลือง เหลืองบางคนก็เปลี่ยนไปแดง นกหวีดย้ายไปมือตบเท้าตบ หรือเท้าตบมือตบเปลี่ยนเป็นนกหวีด ทฤษฎีต่างๆที่มันเปลี่ยนก็เพราะทิฐิที่มาจากผัสสะทั้งสิ้นตามหลักศาสนา

ดังนั้น ใครอยากจะให้ใครมาเห็นตามเขาคล้อยตาม ให้นิยมชมชอบแบบเขาอย่างยุคคอมมิวนิสต์ เขาก็จะต้องปลุกระดมผัสสะว่าคอมมิวนิสต์ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่เอากันจริงๆก็เหลือไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่เป็นคอมมิวนิสต์ นี่คือทฤษฎีหรือทิฐิของคนที่วนไปเวียนมาซึ่งอยู่ที่ผัสสะ เคยชอบก็อาจจะชัง เคยชังก็อาจจะชอบ ถ้าเขาผัสสะฝ่ายที่ชื่นชอบบ่อยๆ หรือผัสสะฝ่ายที่ชังบ่อยๆ ทั้งหมดก็อยู่ที่ผัสสะแวดล้อม

เพราะฉะนั้นใครจะชอบอะไร ชังอะไร ก็ต้องระวังผัสสะของเราจะกระทบฝ่ายเดียวหรือเปล่า เราอาจลำเอียงได้ บางคนก็ฉลาด ไม่ฟังความข้างเดียว เขาสามารถจะดำรงชีวิตโดยทิฐิไม่เอียง ไม่มีอคติ คนเราจึงต้องระวังเรื่องผัสสะให้ดี เรามีอุปนิสัยอย่างนี้ เพราะผัสสะแวดล้อมมันกล่อมมาอย่างไรก็มักจะเป็นไปอย่างนั้น ก็ขอให้ตั้งใจศึกษาเรียนรู้เรื่องพรรณ์นี้กันไว้บ้าง จะได้เข้าใจปรับปรุงแก้ไขทิฐิของตัวเองได้ด้วยผัสสะ

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login