- ปีดับคนดังPosted 16 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ขาดแคลนเสื้อดำ..แต่อย่าขาดแคลนสติ / โดย ทีมข่าวการเมือง
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
นับตั้งแต่การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร พสกนิกรไทยทุกคนต่างอยู่ในความโศกเศร้าและร่วมกันแสดงความอาลัยไว้ทุกข์ ประชาชนทั่วประเทศจำนวนมากทยอยมาที่ศาลาสหทัยสมาคมในพระบรมมหาราชวังเพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์และลงนามสมุดหลวงเพื่อถวายความอาลัย
บางคนมารอตั้งแต่ตีสอง ท้องฟ้ายังมืดสนิท ทั้งที่สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายความอาลัยเวลา 08.30-16.00 น. เนื่องจากยิ่งสายจำนวนผู้เดินทางมาถวายความอาลัยก็ยิ่งมาก ภาพประชาชนที่ต่อแถวยาวเหยียดกลางแดดกลางฝนหลายชั่วโมงอย่างไม่ย่อท้อก่อนได้เข้าถวายสักการะสะท้อนถึงความจงรักภักดีที่พสกนิกรไทยมีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศได้เผยแพร่ภาพแห่งศรัทธาของพสกนิกรไทยไปทั่วโลก
ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนไทยทั้งแผ่นดิน การใส่เสื้อสีดำหรือสีขาวที่แสดงความอาลัยไว้ทุกข์กลับกลายเป็นประเด็นร้อนและลุกลามไปทั่วพร้อมกับความโกรธแค้นและเกลียดชัง เพียงเพราะบางคนไม่ใส่เสื้อสีดำหรือสีขาว ทั้งที่บางคนไม่มีเสื้อดำหรือขาวใส่ได้ทุกวัน หรือใส่เสื้อผ้าพื้นๆเพื่อทำธุระใกล้ๆบ้านก็อาจถูกเข้าใจผิดจากคนที่ขาดสติว่าไม่จงรักภักดี จนเหตุการณ์อาจลุกลามเป็นชนวนสร้างความแตกแยกรุนแรงได้ แม้แต่ผู้มีปัญหาทางจิตไม่ปรกติยังกลายเป็นเหยื่อความไม่มีสติ แม้จะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมี “ขบวนการล่าแม่มด” ที่ออกมาไล่ล่าผู้คนในสังคมออนไลน์ที่เห็นว่าหมิ่นสถาบันหรือแสดงความคิดเห็นไม่เหมาะสม ไม่ถูกใจ หรือผู้ไม่ใส่เสื้อสีดำหรือขาว ก็จะตำหนิต่อว่าด้วยการใช้ถ้อยคำรุนแรง ในทำนองว่าไม่มีความจงรักภักดี และคำถามว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า?” ทั้งที่อาจเป็นการเข้าใจผิด
บทเรียนความไม่มีสติ
ที่น่ากลัวมากขณะนี้คือ การแชร์และไลน์ต่อๆกันภายในชั่วพริบตาทำให้เกิดความเสียหายต่อหลายคนทั้งที่ไม่ได้กระทำผิดเลย อย่างกรณีผู้โพสต์ภาพผู้ชายคนหนึ่ง “สวมเสื้อสีแดง กางเกงขาสั้น นั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหาร” ตำหนิทำนองว่าไม่เหมาะสม ไม่ควรสวมชุดสีแดง ไม่มีจิตสำนึก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง
ต่อมาชายสวมเสื้อแดงดังกล่าวได้โพสต์ในเฟซบุ๊คของตัวเองว่า “พี่แค่ไปกินข้าวต้มปากซอย พี่ผิดไปแล้ว พี่เพิ่งกลับจากส่งเสด็จที่สนามหลวง เดินตากแดด อดข้าวมาค่อนวัน ได้โปรดเมตตาสงสารคนชราและเจเจ้สูงวัยด้วยเถิด #สำนึกผิดแล้ว #อย่าทำร้ายคำแก้วเลย”
ชายคนดังกล่าวยังโพสต์ภาพสวมชุดดำที่ไปร่วมเฝ้าขบวนพระบรมศพ ณ พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมด้วย ทำให้ผู้โพสต์ตำหนิชายสวมเสื้อสีแดงต้องโพสต์ขอโทษว่าไม่มีความตั้งใจจะทำร้าย แต่เมื่อได้กระทำการไปจึงขอกราบขอโทษจากใจจริงที่กระทำการที่ขาดสติและส่งผลเสียแก่บุคคลที่อยู่ในภาพ
“ขอโทษในความไม่มีสติในการกระทำครั้งนี้ ซึ่งขอรับผิดชอบโดยไม่มีข้อแก้ตัวแต่อย่างใด และจะใช้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สอนให้ผมมีสติและเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น”
โกรธและทำร้ายผู้ป่วยจิตเภท
คลิปที่กล่าวขวัญกันมากที่สุดอันหนึ่งคือ คลิปที่โพสต์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม โดย Mai K. Phakaporn มีความยาว 3 นาที เริ่มจากคนบนรถเมล์ต่อว่าผู้หญิงวัยกลางคนสวมชุดกระโปรงลายสีฟ้าที่นั่งอยู่บนรถเมล์ว่า พูดจาไม่บังควรตั้งแต่เยาวราชแล้ว และให้คนขับนำลงจากรถเมล์เรียกตำรวจนำตัวไป ระหว่างที่ผู้หญิงรายนี้ลงจากรถเมล์และกำลังหัวเราะมีหญิงสาวสวมเสื้อดำปรี่เข้าไปตบหน้าอย่างแรง ทั้งตะโกนด่าทอว่าไม่เหมาะสม สมควรแล้วที่โดนแบบนี้เพราะพูดจาไม่บังควร เธอยืนยันว่าฟังอยู่ตลอด ซึ่งตำรวจจราจรและเจ้าหน้าที่ทหารที่รักษาความปลอดภัยสถานที่บริเวณดังกล่าวไม่ทันได้ห้ามปราม และมีการโต้เถียงกันพักหนึ่งก่อนหญิงวัยกลางคนจะเดินจากไปทางอื่น โดยหญิงที่ตบปากยังวิ่งตามไป แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก เพราะผู้ถ่ายคลิปอยู่บนรถเมล์
คลิปดังกล่าวถูกแชร์และมีการรับชมจำนวนมาก เพียง 7 ชั่วโมงมียอดผู้ชมถึง 2.3 ล้าน มีผู้ like ประมาณ 55,000 คน และผู้ share ประมาณ 82,000 คน โดยผู้คอมเมนต์ส่วนใหญ่สะใจและเห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว บางคนยังบอกว่าตบเพียง 1 ครั้ง เป็นการลงโทษที่น้อยเกินไป
บทเรียนความเกลียด
หลังจากคลิปดังกล่าวกระจายออกไปไม่นาน มีผู้อยู่ในเหตุการณ์หลายคนโพสต์ให้ข้อมูลยืนยันว่า หญิงวัยกลางคนดังกล่าวสติไม่ดี ทั้ง “เจ้า” ที่หญิงวัยกลางคนดังกล่าววิจารณ์ก็เป็นเจ้าในละคร โดยหนึ่งในนั้นบอกว่า บ้านเธออยู่หลังถนนหลวงซอยด้านหลังวัดพลับพลาชัย สติไม่สมประกอบ มีอาการทางประสาทป่วยทางจิต ถ้าเจอก็อย่าไปทำร้าย ถ้าเอาผิดก็คงไม่มีสติที่จะสำนึกคิดได้ ก่อนหน้านี้จะพูดแต่เรื่องธุรกิจที่ล้มละลายจนกลายเป็นคนบ้าอยู่ทุกวันนี้
ขณะที่ “ไทยรัฐออนไลน์” ได้ติดต่อไปยัง ร.ต.ท.วีระยุทธ ศรีสุพัฒน์ รองสารวัตร (สอบสวน) สน.นางเลิ้ง ซึ่งตำรวจได้เชิญหญิงวัยกลางคนในคลิปมาที่ สน. พบว่าเป็นคนวิกลจริต มีปัสสาวะใส่กางเกงและพูดจาไม่รู้เรื่อง พบบัตรประจำตัวผู้ป่วย จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งแพทย์ยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลจริง แต่ผู้ป่วยขาดยาและหนีออกจากบ้าน จึงแจ้งญาติให้มารับตัวกลับ
ล่าสุดผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Mai K. Phakaporn ได้โพสต์ขอโทษที่เผยแพร่คลิปและกล่าวขออภัยหญิงวัยกลางคน และชี้แจงว่าขณะนั้นไม่มีใครบนรถที่ไม่ได้ยินสิ่งที่ป้าพูดและไม่มีใครคาดคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วน “ส้ม ธัญสินี” นักแสดงช่อง 7 ที่แสดงความคิดเห็นในโพสต์ Mai K.Phakaporn ว่า “ถึงเวลาที่เราจะต้องปกป้องท่านบ้าง” ก็โพสต์ขอโทษที่แชร์ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น และฝากบอกทุกคนว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกให้แจ้งความตามที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์จะดีกว่า
ส่อแววความรุนแรง
ความรุนแรงอีกด้านหนึ่งที่น่าวิตกคือการไล่ล่าผู้หมิ่นสถาบัน อย่างกรณีเพจ “คนข่าวบางปะกง” เผยแพร่ภาพถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คกลุ่มคนจำนวนหนึ่งบุกจับตัวชายวัยรุ่นจากห้องพักแห่งหนึ่งแล้วนำตัวมากราบขอขมาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ระหว่างนั้นมีการทำร้ายร่างกาย โดยมีข้อความบรรยายว่า “โพสต์หมิ่นเบื้องสูง ชาวบ้านเค้ารับไม่ได้ เลยช่วยกันตามล่าตัวจนเจอและนำมากราบขอขมาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ จะด้วยความคึกคะนองหรือมึนเมาแอดไม่ทราบนะครับ แต่ที่ทราบคือสังคมได้ลงโทษเค้าแล้ว แถมโดนไล่ออกจากงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดต่าง เห็นต่างได้ แต่อย่าลืมว่าเรามีพ่อคนเดียวกัน”
รายงานข่าวระบุว่า ชายดังกล่าวอายุ 19 ปี เคยทำงานแห่งหนึ่งในชลบุรีและถูกไล่ออกเมื่อบริษัททราบว่าโพสต์ข้อความเข้าข่ายหมิ่นฯเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ซึ่ง “ข่าวสดอิงลิช” ระบุว่า ผู้จัดการฝ่ายบุคคลบริษัทดังกล่าวเป็นผู้อนุญาตให้ที่อยู่ชายคนดังกล่าวกับมวลชนที่มาล้อมบริษัท แต่ไม่คิดว่าจะถูกทำร้ายเช่นนี้ ขณะที่พนักงานสอบสวน สภ.พานทอง จ.ชลบุรี เตรียมขอศาลออกหมายจับในวันที่ 19 ตุลาคม
เช่นเดียวกับกรณีที่ภูเก็ตเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ฝูงชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมากที่หน้าร้านขายน้ำเต้าหู้ในอำเภอเมือง อ้างว่าบุตรชายเจ้าของร้านโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่อเข้าข่ายผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยให้ตำรวจนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่พังงาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ประชาชนนับพันรวมตัวกันหน้าร้านขายโรตีแห่งหนึ่งกดดันให้นำตัวผู้ใช้เฟซบุ๊ค RiskeeNumber FourEleven โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันไปรับโทษตามมาตรา 112 และที่สุราษฎร์ธานีมีประชาชนจำนวนมากชุมนุมต่อต้านหญิงสาวเจ้าของธุรกิจเรือนำเที่ยว โดยระบุว่าโพสต์หมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลังเสด็จสวรรคต เป็นความผิดตามมาตรา 112
เกลียดชังจนไม่มีสติ
ตรงข้ามกับกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “ผู้กองฟา ณ. เชียงใหม่” โพสต์ภาพชลธิชา แจ้งเร็ว สมาชิกกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เทียบกับภาพผู้หญิงใส่เสื้อสีส้ม (18 ตุลาคม) โดยมีข้อความประกอบว่า “ช่วยดูกันซิคะ…ตัวเดียวกันหรือเปล่า?” โดยมีการแชร์ภาพและข้อความกว่า 700 ครั้ง พร้อมแสดงความเห็นกว่า 400 ข้อความในลักษณะด่าทอ และผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “เตชะ ทับทอง หนึ่งร้อยตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ” ใช้รูปชลธิชาเทียบกับผู้หญิงใส่เสื้อสีส้มในลักษณะเดียวกัน พร้อมข้อความว่า “เดวนะ..อิน้องพับนกกระดาษ ..กับหญิงสติประหลาดชุดส้ม หน้ามึงเหมือนกันเกินไปป่าว!!! มึงเล่นอะไรกันอยู่เหรออิพวกนี้ ..จัญไรไปป่าวครับ พับนกหาประชาธิปไตย แต่มาแต่งส้มเล่นละคร นี่น้องเข้าค่ายหา “ประชาธิปตีน” นะครับ คนเดียวกันไหมน้อ???? ช่วยกันดูครับ ป.ล. ภาพมีคนส่งมาให้ดู ผมเลยถามต่อ”
ต่อมาผู้ใช้เฟซบุ๊ค “ผู้กองฟา ณ. เชียงใหม่” ได้โพสต์แก้ข่าวว่า บุคคลในภาพเป็นคนละคนกัน ส่วนผู้ใช้เฟซบุ๊ค “เตชะ ทับทอง” ได้ลบภาพออกพร้อมโพสต์ว่า “สาวชุดส้ม” และ “สาวพับนก” เป็นคนละคนกัน แต่ผู้เสียหายคือชลธิชาได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล นครปฐม ว่าไม่ใช่ตนเอง และระบุในใบบันทึกประจำวันว่า
“รูปภาพและข้อความที่แพร่ออกไปเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความโกรธแค้น เกลียดชัง และพยายามปลุกระดมให้เกิดความรุนแรง รวมทั้งทำลายชื่อเสียงของผู้แจ้ง และขณะนี้ผู้แจ้งมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้แจ้งและครอบครัว” ดังนั้น หากเกิดความรุนแรงขึ้นจะดำเนินคดีตามกฎหมาย และให้ผู้โพสต์แสดงความขอโทษด้วย
รัฐบาลลดความตึงเครียด
อาการโกรธและเกลียดโดยอ้างความจงรักภักดีจนเหมือนอุปาทานหมู่ไปแล้วนั้น ทำให้รัฐบาลวิตกว่าจะเกิดความขัดแย้งลุกลาม ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) จึงนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมและประกาศให้ประชาชนนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งกายเพื่อแสดงความอาลัยไว้ทุกข์ว่า อาจมีปัจจัยที่ทำให้หลายคนไม่สามารถหาเสื้อสีดำหรือสีขาวได้ จะเพราะปริมาณเสื้อผ้าไม่เพียงพอ หรือปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย จึงให้มองที่เจตนาของแต่ละคนที่จะร่วมถวายความอาลัยโดยสวมเสื้อผ้าสีพื้นแทนได้ หรือใช้โบและริบบิ้นสีขาวหรือสีดำได้ ทั้งจะมีการควบคุมราคาจำหน่ายเสื้อสีดำเพื่อไม่ให้โก่งราคา รวมถึงนำเสื้อสีดำราคาถูกมาจำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกทั่วประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ทั้งเตือนผู้ฉวยโอกาสโก่งราคาว่ามีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงปัญหาเสื้อดำ (18 ตุลาคม) ว่า ต้องเห็นใจผู้มีรายได้น้อย เพราะเสื้อตอนนี้ราคาแพง ตัวละหลายร้อย ขอร้องอย่าไปติติงคนที่ไม่ใส่เสื้อดำว่าไม่รักพระเจ้าอยู่หัว เดี๋ยวก็ตีกันอีก วันนี้มีแต่สีแห่งความจงรักภักดี
แม้แต่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ยังโพสต์ตอบ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่โพสต์อินสตาแกรมเรียกร้องอย่าจับผิดคนอื่นกรณีการไว้ทุกข์ว่า “เห็นด้วยนะ บางทีเราอาจต้องผ่อนทุกข์ในใจของเราบ้าง ไม่งั้นก็คงทนไม่ไหว”
โดยแพทองธารอินสตาแกรม “Ingshin21” (16 ตุลาคม) มีข้อความว่า “อย่าไปว่าคนที่เขาไม่ใส่ชุดไว้ทุกข์ เพราะเขาอาจไม่มีจริงๆก็ได้ อย่าไปด่าคนที่เขาไม่เปลี่ยนรูปโพรไฟล์เป็นขาวดำ ความจงรักภักดีของเขาอาจแสดงออกด้านอื่นก็ได้ อย่าไปเกลียดคนที่เขาลงรูปไปกิน-ไปเที่ยว อาจเป็นวิธีที่ทำให้เขาคลายเศร้าโศกก็ได้ ทุกชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป เปิดใจให้กว้าง อย่ามัวแต่ไปจับผิดคนอื่น Cr : Teangmo”
ขาดแคลนเสื้อดำ..แต่อย่าขาดแคลนสติ
ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งคนไทยทั้งแผ่นดินควรมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่กลับมีการใช้ความรุนแรงโดยอ้างความจงรักภักดี หรือมีการปลุกระดมจนเกิดความขัดแย้งในหลายพื้นที่ เป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลและหลายฝ่ายวิตกกังวล อย่างที่นายประวิตร โรจนพฤกษ์ บรรณาธิการข่าวสดอิงลิช โพสต์เฟซบุ๊คว่า การทำร้ายคนเห็นต่างที่แสดงออกมิใช่ความรักเจ้า หากเป็นความคลั่งเจ้า การบูชาคนที่ตนรักและเทิดทูนด้วยความรุนแรงต่อคนเห็นต่างไม่ช่วยให้ผู้ใดหรือแผ่นดินนี้สูงขึ้น
“ใบตองแห้ง” คอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์ว่า อธิบดีกรมสุขภาพจิตเป็นห่วงคนไทย บ้างก็เฮไปตามข่าวลือ บ้างก็เศร้าโศกและเครียด ต้องปล่อยให้แสดงออก แต่แสดงออกอย่างพอดี อย่าสร้างความขัดแย้งและหาแพะรับบาป เรื่องทั้งที่ภูเก็ต พังงา สมุย ที่มีลักษณะเดียวกัน ตำรวจยังไม่ยืนยันว่าผิดจริงหรือไม่ แต่ฝูงชนก็ตัดสินแล้ว
ที่สำคัญแม้แต่ผู้ป่วยจิตเภทก็ยังตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง กว่าจะรู้ความจริงก็ทำให้คนมากมายกลายเป็นผู้ร่วมกระทำผิดไปแล้ว ซึ่งสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรมชื่อดัง โพสต์ว่า ผู้ป่วยจิตเภทในประเทศไทยมีจำนวนนับล้านคน ปี 2556 ประเทศไทยมีผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด 1,152,004 ราย เป็นผู้ป่วยโรคจิตเภท 409,003 ราย
“คุณคิดว่าในแต่ละวันคุณเดินผ่านคนเหล่านี้วันละกี่คน? อย่าคิดว่าผู้ป่วยเหล่านี้จะมีเฉพาะคนที่เดินเร่ร่อนพูดคนเดียว บางคนไปซื้อทองคำโดยใช้บัตรเครดิตจนหมดวงเงินหลายแสน พนักงานจึงค่อยรู้สึกผิดปรกติ เมื่อเธอเดินมาซื้อทองคำทุกวันในชุดแต่งกายเดิม”
สมบัติยังให้สัมภาษณ์ Thai-Voice-Media ว่า การอ้างความจงรักภักดีเพื่อกล่าวหา ด่าทอ ใส่ร้าย ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น เป็นเพียงคนส่วนน้อยที่ขาดสติและปัญญา รัฐบาลควรส่งสัญญาณว่าเราจะอยู่กันในภาวะความศร้าโศกนี้ได้อย่างไร และไม่ควรมีใครไปเพิ่มฟืนในกองไฟ
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ วัดสร้อยทอง โพสต์ข้อความถึง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ให้สัมภาษณ์กรณีชาวภูเก็ตฮือล้อมบ้านผู้ถูกกล่าวหาโพสต์หมิ่นสถาบันเป็นมาตรการทางสังคมว่า ขอตำหนิรัฐมนตรีที่ออกมาพูดเชิงสนับสนุนให้คนในสังคมใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายเพื่อคุกคามคนอื่นที่พูดหรือโพสต์ข้อความอันเป็นการพาดพิงถึงสถาบันในทางที่มิบังควร ที่อ้างว่าเป็นมาตรการการลงโทษทางสังคมก็ฟังไม่ขึ้นและผิดจากความหมายคำว่ามาตรการทางสังคมมาก
“หน้าที่ของท่านคือต้องปกป้องคนจากความอยุติธรรม อันนี้เป็นหัวใจเลยนะ คนทำผิดหรือไม่ผิดอย่างไรต้องให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ต้องได้รับการคุ้มครองตามหลักของสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ให้คนในสังคมมาตัดสินกันเอง ลงโทษกันเอง ถ้าจะใช้มาตรการทางสังคมจริง ท่านต้องขอความร่วมมือให้คนในสังคมหยุดให้ความสนใจ หยุดแชร์ต่อ หยุดพูดถึงคนที่หมิ่นหรือพาดพิงถึงสถาบันในทางที่มิบังควร ถ้าจะเอาเรื่องหรือรับกับการกระทำของคนพวกนั้นไม่ได้ก็ขอให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จัดการกันตามกฎหมาย นี่ต่างหากคือมาตรการทางสังคม”
พระมหาไพรวัลย์ยังกล่าวว่า“ถ้าคนในรัฐบาลนี้มีสติปัญญามากพอ สามารถที่จะเรียนรู้เข้าใจประชาชนได้ เห็นอกเห็นใจประชาชนทุกฝั่งทุกฝ่ายมากขึ้น ห้ามปรามไม่ให้ใครแอบอ้างความจงรักภักดีเพื่อสร้างความวุ่นวาย หรือทำลายภาพลักษณ์ของประเทศชาติโดยรวม นี่จะถือว่าเป็นคุณอย่างมาก ทั้งยังเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศอย่างควรแก่การยกย่องและทำตาม”
พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เตือนสติว่า คนไทยต่างก็โศกเศร้าเสียใจกับการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่าให้ความโศกเศร้าเข้าครอบงำจนกระทั่งเราสูญเสียสติปัญญา ซึ่งจิตแพทย์ก็ได้ประกาศออกมาแล้วว่า เป็นห่วงคนไทยช่วงนี้มาก เพราะรับแต่สื่อที่มีข่าวความโศกเศร้า
แม้แต่การไว้ทุกข์ก็ต้องเป็นแบบเลื่อนระดับ รู้สังขาร ไม่ว่าจะเป็นพระราชาหรือยาจกก็เป็นไปตามพระไตรลักษณ์หมดคือ พระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา ไม่ใช่ไว้ทุกข์แบบ “เลื่อนเปื้อน” อย่างที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า อย่าไปด่าไปว่าคนที่ไม่ใส่ชุดดำ เห็นใครไม่ใส่ชุดดำก็ปรี่จะไปเอาเรื่องกับเขา เรียกว่าเลื่อนเปื้อนแล้ว ไปบีบบังคับ ไปบีบมากเกินไป ถ้าไว้ทุกข์แบบฉลาดก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไว้ทุกข์แล้วสติปัญญาไม่พอก็จะไปเพิ่มทุกข์คนข้างเคียงให้ยุ่งยากลำบาก (อ่านเพิ่มเติม หน้า 22)
การใส่เสื้อสีดำหรือสีขาวเพื่อแสดงความอาลัยไว้ทุกข์ต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งควรเป็นโอกาสที่ดียิ่งสำหรับคนไทยทั้งแผ่นดินจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและลดละเลิกความขัดแย้งเพื่อทำให้เกิดความสามัคคีปรองดอง ซึ่งพูดกันมาตั้งแต่รัฐประหาร 2549 จนกระทั่งรัฐประหาร 2557 ก็ยังเป็นแค่วาทกรรม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ย้ำว่าช่วงนี้ถือเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่ทุกคนก็เสียใจเหมือนกัน แต่ต้องมีสติเพื่อใช้สติปัญญาให้ประเทศเดินหน้าตามโรดแม็พให้ได้
ปัญหาสำคัญคือ ตราบใดที่บ้านเมืองไม่สามารถหยุดการแบ่งพวก แบ่งฝ่าย แบ่งสีได้ ความสามัคคีปรองดองก็ไม่เกิด เพราะแม้แต่ช่วงเวลาที่คนไทยทั้งแผ่นดินมีความโศกเศร้าและอาลัยกับการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งหัวใจของคนไทยทุกคนควรเป็นหนึ่งเดียว แต่วันนี้กลับมีคนบางคนบางกลุ่มทำให้แค่เรื่องของ “สีเสื้อ” กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
ขาดแคลนเสื้อดำ..แต่อย่าขาดแคลนสติ!
You must be logged in to post a comment Login