- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 3 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ธพว.หนุน SMEs ก้าวสู่ตลาดสากล
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และในฐานะประธานกรรมการ ธพว. กล่าวถึงนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่อุตสาหกรรม SMEs 4.0 พร้อมนโยบายของ ธพว.ในการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs สู่ตลาดโลก ว่า ได้มีการลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่ตลาด E-Commerce ระดับสากล โดยโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือ 3 หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษา ประกอบด้วย นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และ รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ Mr. Jerry Wu, Country Manager of Alibaba.com Thailand เป็นพยานความร่วมมือในครั้งนี้ ในฐานะเป็นพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
สำหรับความร่วมมือการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่ตลาด E-Commerce ระดับสากลให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นั้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และไปสู่เวทีระดับสากล ซึ่ง 4 หน่วยงานดังกล่าว มีมาตรการช่วยผลักดันให้ SMEs สามารถดำเนินการธุรกิจไปสู่ตลาดโลกผ่านทาง Alibaba.com ซึ่งเป็นธุรกิจ E-Commerce รายใหญ่ของจีน ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในระดับโลก เนื่องจากมีความหลากหลายของสินค้าทั่วโลก และเป็นแหล่งหาสินค้าอย่างดีสำหรับผู้ซื้อทั่วโลกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้บทบาทของ 3 หน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย ธพว. EXIM BANK และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม คัดเลือกลูกค้าแต่ละกลุ่ม หรือผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการ และร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการร่วมบูรณาการพัฒนาผู้ประกอบการให้เข้าสู่ธุรกิจขายส่งระหว่างบริษัท หรือ ที่เรียกว่า B2B ผ่านทาง Alibaba.com โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจะมีกลุ่มลูกค้า Spring Up ขณะที่ EXIM BANK มีกลุ่มลูกค้าด้านส่งออกและนำเข้า ส่วน ธพว.เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพพร้อมเข้าร่วมโครงการ ซึ่งทั้งสองธนาคารพร้อมสนับสนุนด้านสินเชื่อและให้บริการทางการเงินต่างๆ แก่ผู้ประกอบการด้วย ส่วนบทบาทของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีองค์ความรู้ด้านผู้ประกอบการและ E-Commerce ที่โดดเด่น มีเครือข่ายและความร่วมมือที่เข้มแข็งกับ Alibaba.com จะช่วยอบรมผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อพัฒนาบ่มเพาะเชื่อมต่อกับการทำธุรกิจ E-Commerce ผ่าน Alibaba.com ที่ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นพันธมิตร ระหว่างวันที่ 11 – 13 พฤศจิกายน 2559
โดยมีลูกค้าที่ผ่านการคัดเลือกจาก ธพว. และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 10 รายที่มีความหลากหลายโดดเด่นน่าสนใจ คัดสรรมาจากต่างจังหวัดทั้งหมด เช่น ธุรกิจประเภทอาหารและเครื่องดื่ม และของใช้ต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการพร้อมเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านเทคโนโลยี่ใหม่ๆ
และลูกค้าของ EXIM BANK จำนวน 10 รายที่มีศักยภาพทางด้านการส่งออกต่อไป
สำหรับ Alibaba.com ที่เข้าร่วมโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่ตลาด E-Commerce ของไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่า สถาบันการเงินของรัฐ ธพว. EXIM BANK ตลอดจนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานที่มีแนวนโยบายในการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs อย่างแท้จริง ในการเพิ่มศักยภาพการตลาด เพื่อก้าวสู่ระดับสากล ซึ่งจะมีผู้ประกอบการ SMEs เป็นจำนวนมากที่มีความหลากหลายของธุรกิจ มีโอกาสเปิดตลาดสู่สากล โดย Alibaba.com. พร้อมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือผ่านกลไกการอบรมระบบการซื้อขาย E-Commerce ที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และพัฒนาความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไป
สำหรับผลประกอบการ ธพว. สิ้นสุดไตรมาส 3/2559 (ณ กันยายน 2559) สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อยรวม 26,253 ล้านบาท จำนวน 8,823 ราย เฉลี่ยกู้ต่อราย 2.98 ล้านบาท ยอดสินเชื่อคงค้าง 91,898 ล้านบาท สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) คงเหลือ 18,983 ล้านบาท (คิดเป็น 20.66% ของสินเชื่อรวม) ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2559 ที่มียอด NPLs เท่ากับ 19,486 ล้านบาท (คิดเป็น 21.66% ของสินเชื่อรวม) หรือ ลดลง 503 ล้านบาท ทั้งนี้ เกิดจากธนาคารได้มีการแก้ไขหนี้ NPLs ด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย อาทิ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การชำระหนี้ปิดบัญชี การขายหนี้และการตัดหนี้สูญทางบัญชี เป็นต้น และธนาคารได้อนุมัติในหลักการร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 10 ราย รวมวงเงิน 138 ล้านบาท โดยแยกเป็นร่วมลงทุนกองทุนย่อยกองที่ 1 จำนวน 8 ราย วงเงิน 98 ล้านบาท และกองทุนร่วมลงทุนพันธกิจ SMEs เชิงเกษตรและที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 ราย วงเงิน 40 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่ขยายสินเชื่อเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขปัญหา NPLs รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายการดำเนินงานในด้านต่างๆ ที่เป็นไปตามแผนงาน ส่งผลให้ผลประกอบการของธนาคาร มีกำไรสุทธิ ในเดือนกันยายน 2559 เท่ากับ 186 ล้านบาท และรวมกำไรสุทธิสิ้นสุดไตรมาส 3/2559 เท่ากับ 1,473 ล้านบาท
You must be logged in to post a comment Login