วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ความพ่ายแพ้‘โดนัลด์ ทรัมป์’ / โดย ณ สันมหาพล

On November 7, 2016

คอลัมน์ : โลกไม่หยุดนิ่ง
ผู้เขียน : ณ สันมหาพล

เรื่องฉาวของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ยังมีอีกมากมายตามสื่อของสหรัฐ ไม่ใช่แค่เรื่องนางงามหรือเปิดมหาวิทยาลัยหลอกเงินเด็ก ยังมีเรื่องการกีดกันคนผิวดำไม่ให้เช่าห้องพัก ซึ่งขณะนั้นเขายังไม่ได้เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ช่วยพ่อดูแลที่ดินและอาคารในมหานครนิวยอร์ก

เรื่องนี้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สได้นำมาเปิดเผย ยกคำฟ้องของกระทรวงยุติธรรมเมื่อปี 2516 กล่าวหา 2 พ่อลูกว่ามีพฤติกรรมกีดกันคนผิวดำไม่ให้เช่าห้องพักที่มีทั้งหมด 39 หลัง โดยให้คำตอบคนผิวดำที่ต้องการเช่าว่าห้องไม่ว่าง ส่วนคนผิวขาวที่โดนกีดกันก็มี แต่เป็นการกำหนดค่าเช่าตามระดับสัญชาติและเชื้อชาติ โดยกำหนดค่าเช่าในอัตราสูงกว่าปรกติ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าอาคารที่พักในสหรัฐหากมีคนผิวดำเข้าพักก็มักมีบรรยากาศไม่ค่อยน่าอยู่ เช่นเดียวกับอาคารที่มีคนยุโรปตะวันออกพักอาศัย แต่ถ้าเป็นคนเอเชียจะไม่ค่อยมีปัญหา

หลังถูกกระทรวงยุติธรรมฟ้อง ทรัมป์ได้ฟ้องกลับพร้อมเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านเหรียญ แต่ก็พ่ายแพ้ ทำให้ต้องมีการวางกฎระเบียบให้เขาปฏิบัติตาม รวมถึงการให้อำนาจองค์กรเอกชนติดตามพฤติกรรมของเขามาจนทุกวันนี้

นอกจากนี้ทรัมป์ยังโดนข้อหาข่มขู่ผู้เช่าเพื่อขับไล่ให้ออกไป เหตุเกิดเมื่อปี 2524 ซึ่งเขาเริ่มพัฒนาอสังหาฯหลังจากซื้ออาคารหลังหนึ่งริมสวนสาธารณะเซ็นทรัล พาร์ค แต่ไม่มีผู้เช่ารายใดยอม เขาจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขับไล่ ตั้งแต่ตัดน้ำ ตัดไฟ ไม่ยอมซ่อมแซมพื้นที่ที่ชำรุด ในที่สุดก็เสนอยกอาคารให้เป็นที่พักคนไร้บ้านเพื่อให้คนเช่าออกไป แต่เทศบาลมหานครนิวยอร์กไม่รับข้อเสนอ

สุดท้ายทรัมป์ใช้วิธีที่ถนัดที่สุดคือ ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านเหรียญจากผู้ที่ไม่ยอมย้ายออก แต่เขาก็แพ้อีก ทุกวันนี้อาคารดังกล่าวก็ยังไม่ถูกรื้อเพื่อสร้างอาคารใหม่ โดยชั้นบนสุดเป็นห้องของลูกชายคนโตของทรัมป์

ประเด็นฉาวที่เป็นข่าวใหญ่อีกข่าวคือ การใช้แรงงานผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นชาวโปแลนด์ เกิดขึ้นเมื่อปี 2523 หลังทรัมป์ซื้อห้างสรรพสินค้าบอนวิต เทลเลอร์ ซึ่งเป็นห้างเก่าแก่และโด่งดัง เพื่อสร้างอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ เพื่อเป็นสำนักงานใหญ่ของเขาในปัจจุบัน

มีการต่อต้านไม่ให้รื้ออาคารแห่งนี้เพราะถือเป็นสถาปัตยกรรมชั้นยอด เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายทรัมป์ได้จ้างผู้อพยพชาวโปแลนด์ที่ขณะนั้นกำลังหลั่งไหลเข้าสหรัฐให้รื้ออาคารอย่างเร่งรีบจนคนงานแทบไม่ได้พัก แต่ค่าแรงกลับมีทั้งจ่ายและไม่จ่าย โดยจ่ายเพียงชั่วโมงละ 5 เหรียญ ซึ่งต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งยังผิดกฎความปลอดภัย เพราะไม่มีหมวกป้องกันศีรษะ และยังมีปัญหาสุขอนามัยอีกมากมาย

เหตุที่คนงานยอมทำงานเพราะทรัมป์ขู่ว่าหากใครโวยวายจะถูกส่งตัวกลับโปแลนด์ แต่เขาบอกคนภายนอกว่าไม่รู้ว่าคนงานพวกนี้เป็นพวกเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐฟ้องทรัมป์ และในปี 2534 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิด

ด้วยพฤติกรรมเดิมๆ ทรัมป์ใช้วิธีประนีประนอมเพื่อให้เรื่องจบลงแบบเงียบเชียบ แต่นิวยอร์กไทม์สก็ขุดคุ้ยพฤติกรรมฉาวของเขามาตลอด และเป็นเรื่องฉาวที่ถูกนำมาโจมตีในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้ว่า เขาร่ำรวยและรุ่งเรืองเพราะพฤติกรรมฉาวที่ผ่านมามากมาย

ประเด็นที่ถามกันมากคือ ทำไมยังมีคนอเมริกันเลือกทรัมป์ คำตอบคือ เพราะคนอเมริกันกำลังเบื่อสภาพประเทศตัวเองจึงต้องการใครก็ได้ที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยไม่สนใจว่าเป็นคนดีหรือไม่ ซึ่งทรัมป์ก็ทำให้คนอเมริกันเห็นว่าเขามีความคิดไม่เหมือนใครและพร้อมจะทำให้สหรัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน

สาเหตุที่ทรัมป์ตัดสินใจสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเพราะความร่ำรวยและการสร้างภาพของเขา ซึ่งมีสื่อในมือจนทำให้เข้าถึงคนอเมริกัน การตอกย้ำภาพลักษณ์อย่างสม่ำเสมอทำให้สามารถครอบงำจิตใจคนอเมริกันจำนวนหนึ่งอย่างฝังลึก

เมื่อย้อนมองประวัติของทรัมป์ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาในวงการธุรกิจก็สนใจการเมืองและรู้จักที่จะใช้ประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดเขาทำในเชิงบันเทิงคือ ให้คนเห็นว่าสิ่งที่เขาทำล้วนสนุกสนาน โดยเข้าถึงสื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลสูงในยุคปัจจุบัน เห็นได้จากมีผู้ติดตามผ่านทวิตเตอร์ของเขามากถึง 7 ล้านคน และอินสตาแกรม 2 ล้านคน มากกว่าองค์กรสื่อทุกแห่ง

แม้ทรัมป์จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ก็ทำให้การเมืองสหรัฐเป็นข่าวดังไปทั่วโลกในอีกรูปแบบหนึ่ง


You must be logged in to post a comment Login