วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ประวัติศาสตร์จำนำข้าว / โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

On November 14, 2016

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

ในภาวะที่สินค้าข้าวกำลังเป็นปัญหาสำคัญในขณะนี้ โครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเป็นประเด็นหนึ่งที่ถูกเอ่ยถึงอยู่เสมอ จึงจะกลับไปทบทวนประวัติศาสตร์กัน โดยย้อนไปที่การเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 พรรคเพื่อไทยใช้นโยบายหาเสียงว่าจะยกระดับราคาข้าวเปลือกขึ้นไปถึงตันละ 15,000 บาท

เมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นายกฯยิ่งลักษณ์ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 23 สิงหาคมว่า จะใช้นโยบาย “รับจำนำข้าว” โดยอธิบายว่าเป้าหมายคือ แก้ปัญหาความยากจนซ้ำซาก เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางสังคมของชาวนา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และสร้างคุณค่าให้กับข้าวไทย

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้นว่า นโยบายลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันคือลักษณะหนึ่งของนโยบายอุดหนุนการเกษตรที่ใช้กันทั่วโลก ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิสราเอล สหรัฐอเมริกา จีน ฯลฯ ก็มีนโยบายในลักษณะนี้ แม้กระทั่งประเทศไทยในอดีต รัฐบาลหลายชุดก็มีนโยบายช่วยเหลือชาวนาโดยใช้การอุดหนุนภาคเกษตรในลักษณะใดลักษณะหนึ่งมาแล้วทั้งสิ้น เช่น รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็มีนโยบายที่เรียกว่า “ประกันราคาข้าว”

แต่ความแตกต่างอยู่ที่พรรคเพื่อไทยได้วิเคราะห์ว่า นโยบายรับซื้อข้าวชาวนาในอดีตรับซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด และมักจะรับโดยจำกัดจำนวน เช่น 10% ของผลผลิต ทำให้ไม่เกิดแรงผลักดันที่จะทำให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาว่าชาวนาที่เป็นผู้ผลิตไม่มีอำนาจต่อรอง ทำให้ราคาข้าวถูกกำหนดโดย “กลไกตลาด” ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือฝ่ายพ่อค้า พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่านโยบายในลักษณะประกันราคาช่วยเหลือชาวนาได้น้อย และเปิดทางให้เกิดการทุจริตได้ง่าย เพราะรัฐไม่ได้เห็นเมล็ดข้าว แต่จ่ายเงินตามเอกสารที่อ้าง หรือถ้าใช้นโยบายจ่ายเงินให้เปล่ากับชาวนาหรือชดเชยปัจจัยการผลิตก็เป็นแบบเดียวกัน ไม่ได้แก้เรื่องราคาข้าวเปลือกตกต่ำ พรรคเพื่อไทยจึงใช้วิธีให้ชาวนาเอาข้าวมาจำนำกับรัฐในราคาที่สูงกว่าตลาด และรับจำนำข้าวทุกเม็ดเพื่อให้การรับจำนำมีปริมาณมากและทั่วถึงทั่วประเทศ

สำหรับโครงการขั้นแรกรัฐบาลยิ่งลักษณ์เสนอเวลา 3 ปี เพื่อให้ชาวนาพ้นจากหนี้สินและมีชีวิตที่ดีขึ้น ประเมินว่าใน พ.ศ. 2554 ชาวนาไทยมีทั้งหมด 3.7 ล้านครัวเรือน เป็นประชากร 15.3 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ของประเทศ ถ้าคนกลุ่มนี้มีรายได้สูงขึ้นจะผลักดันตลาดสินค้าภายในประเทศให้เติบโต ซึ่งจะมีส่วนช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมาก

ในการดำเนินงานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กบช.) เป็นผู้รับผิดชอบ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรัฐมนตรีหลายกระทรวง และปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นกรรมการและเลขานุการ วันที่ 7 ตุลาคม ได้เปิดโครงการอย่างเป็นทางการ และ 2 ปีต่อมาถือว่าโครงการประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เช่น ใน พ.ศ. 2555 รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือก 21.7 ล้านตัน ทำให้เงินถึงชาวนา 3.3 แสนล้านบาท ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 1.23 แสนล้านบาท ต่อมา พ.ศ. 2556 รัฐบาลรับจำนำข้าวเปลือก 22.5 ล้านตัน เงินถึงมือชาวนา 3.5 แสนล้านบาท ชาวนามีรายได้เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 1.28 แสนล้านบาท ทำให้ชาวนามียอดเงินฝากในธนาคารเพิ่มอย่างมาก และใช้ไปในด้านการศึกษาสูงขึ้น มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) สูงขึ้นถึง 8.87% ใน พ.ศ. 2555 ปีแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (เป็นตัวเลขเกินฝันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา)

แต่กระนั้นนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ถูกต่อต้านและโจมตีอย่างหนักตั้งแต่แรก ปัญหาสำคัญคือ การที่รัฐรับจำนำเมล็ดข้าวจากชาวนา ทำให้ต้องจัดหายุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวเปลือก และนำมาซึ่งกรณีข้าวเสีย ข้าวเน่า ข้าวเสื่อมคุณภาพ ทั้งการรับซื้อข้าวที่สูงกว่าราคาตลาดหมายถึงว่ารัฐมีแนวโน้มต้องขายข้าวในราคาขาดทุน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อธิบายว่า ชาวนาก็ไม่มียุ้งฉางเก็บข้าวเปลือก ทำให้ต้องขายข้าวในราคาที่เสียเปรียบ แต่พ่อค้าข้าวมียุ้งฉางจึงรอเวลาขายที่ตนเองได้เปรียบได้ โครงการนี้จึงเท่ากับรัฐช่วยสร้างยุ้งฉางให้ชาวนา และรัฐมีโครงการระบายข้าวโดยการเจรจาขายกับรัฐบาลต่างประเทศในลักษณะรัฐต่อรัฐ นำเข้าตลาดซื้อขายล่วงหน้า หรือขายให้องค์กรสาธารณประโยชน์และองค์กรบรรเทาทุกข์ เป็นต้น

กรณีข้าวเน่า ข้าวเสื่อมคุณภาพ รัฐบาลได้ทำสัญญาสร้างหลักประกันให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนให้ข้าวที่เก็บสามารถรักษาคุณภาพเช่นยุ้งฉางเอกชน และยังมีการประกันภัยรองรับกรณีเกิดความเสียหาย ส่วนการขายข้าวขาดทุนต้องถือว่าเป็นการลงทุนของรัฐเพื่อช่วยเหลือชาวนา จึงไม่อาจพิจารณาว่าจะต้องมีกำไร เพราะโครงการช่วยเหลือประชาชนของรัฐจำนวนมากก่อนหน้านี้ โครงการสร้างสาธารณูปโภค รวมทั้งการประกันราคาข้าว ก็เป็นโครงการขาดทุนทั้งนั้น

ปรากฏว่าตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ก่อนหน้าที่จะมีการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวนั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งข้อเสนอการแก้ปัญหาทุจริตและให้ยุติโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่าโครงการจะนำมาซึ่งการทุจริต แต่รัฐบาลถือเป็นเรื่องนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาและสัญญากับประชาชน จึงไม่ใช่หน้าที่จะต้องให้ ป.ป.ช. มารับรองนโยบาย และรัฐบาลก็มีมาตรการเป็นขั้นตอนที่จะป้องกันการทุจริตอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมีการดำเนินการทุจริตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จัดการฟ้องร้องดำเนินคดีแล้วถึง 276 คดี

นี่เป็นเรื่องเล่าอย่างย่อสำหรับโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งขณะนี้ก็เป็นที่ทราบกันดีว่ายังเป็นข้อโจมตีตกค้างของกลุ่มสลิ่ม ความจริงแล้วต่อให้นโยบายนี้ผิดก็ต้องต่อสู้คัดค้านกันตามระบบ ไม่ต้องเป็นเหตุให้นำเอากองทัพมาทำรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตย ซึ่งหลังรัฐประหารฝ่ายเผด็จการทหารก็ยกเลิกนโยบายรับจำนำข้าวและใช้คำสั่งในทางปกครองเรียกค่าเสียหายอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดเลยว่าโยงเรื่องการทุจริต หรือการดำเนินงานที่ผิดไปจากแบบแผนที่กำหนด

เล่าในฐานะเรื่องทางประวัติศาสตร์ยุคใหม่!


You must be logged in to post a comment Login