วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วิธีพิเศษกำจัดศัตรู! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On November 17, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

ในที่สุดปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำก็กลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลของท่านผู้นำสูงสุดไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้ก่อนหน้านี้จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวลื่นเอาตัวรอดไปได้เป็นพักๆก็ตาม ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจสงสัยว่าปัญหาเหล่านี้เพิ่งมาเกิดหรืออย่างไร ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีใครออกมาโวยวาย หลายท่านคงทราบเหมือนผมว่าปัญหามันเกิดและหมักหมมมาตั้งแต่หลังปฏิวัติ แต่ในช่วงแรกที่รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศคงไม่มีใครกล้าออกมาแหยม อาจเพราะกลัวอำนาจทหารหรือยอมให้โอกาสมือใหม่หัดขับทั้งหลายอีกระยะ

สำหรับปีนี้น่าจะเกินเวลาฝึกงานของรัฐบาลนานพอสมควรแล้ว เมื่อเกษตรกรสามารถสร้างผลผลิตออกมาได้เป็นจำนวนมาก และบางประเภทมีจำนวนเกินความต้องการของตลาดจนราคาตกต่ำ ท่านผู้รับผิดชอบทั้งหลายคงรู้ซึ้งแล้วว่าวิธีที่ถูกต้องมากที่สุดในการแก้ไขปัญหานี้คือ รัฐบาลต้องลงมาเป็นเจ้ามือในการแทรกแซงราคา เพราะถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด พ่อค้าทุกรายย่อมต้องกดราคาและเอาเปรียบเกษตรกรให้ได้มากที่สุด

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลนายกฯปูตกเป็นจำเลยของสังคมมาโดยตลอด ผู้ที่ออกมาตรวจสอบโครงการกลุ่มหนึ่งสมคบคิดกันเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงและทำให้สังคมเชื่อว่ามีการทุจริตในโครงการ จากเรื่องราวต่างๆที่สร้างขึ้น แต่สุดท้ายเรื่องการทุจริตที่นำมาดำเนินคดีนายกฯปูขณะนี้ก็คือ นายกรัฐมนตรีไม่ยอมระงับยับยั้งโครงการดังกล่าว ปล่อยให้มีการดำเนินโครงการจนรัฐต้องขาดทุนเท่านั้นเอง

ใครติดตามเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิดจะเห็นเรื่องโอละพ่อหลายเรื่อง และอีกหลายเรื่องก็ขัดแย้งกันเอง เพราะในข้อเท็จจริงแล้วโครงการรับจำนำพืชผลทางการเกษตรนั้นทุกรัฐบาลก็ทำกันมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีใครถูกกล่าวหาและโดนดำเนินคดีในลักษณะแบบนี้ ดังนั้น การที่นายกฯปูและผู้เกี่ยวข้องโดนดำเนินคดีแบบเหมาเข่งจึงเป็นภาพฉายที่ปรากฏชัดต่อพี่น้องประชาชนที่รักความยุติธรรมว่า ที่แท้เป็นเพียงวิธีพิเศษในการกำจัดศัตรูทางการเมืองของทหารและพรรคการเมืองที่สนับสนุนฝ่ายเผด็จการที่ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งจากการเลือกตั้งตามปรกติได้นั่นเอง

ผมเชื่อว่าเรื่องที่นำมาบ่นให้ฟังนี้ ท่านผู้อ่านจำนวนมากน่าจะมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับผม แต่คงมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยและคิดว่าเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวให้พวกพ้องเท่านั้น ซึ่งผมคงไม่บังอาจไปบังคับใครให้เชื่อเหมือนผม และผมทราบดีว่าคงไม่มีความสามารถไปเปลี่ยนความเชื่อของใครได้ง่ายๆเช่นกัน

แต่ผมขออนุญาตสะท้อนเรื่องเหมือนกันที่ถูกกล่าวหาในสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่พอมาเกิดขึ้นในรัฐบาลทหารเรื่องราวกลับเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “คนดีหน้าเดิม” ทั้งหลายต่างออกมาช่วยกันสหบาทารัฐบาลเลือกตั้งกันอย่างไม่มียั้ง จนผมไม่แน่ใจว่าตำแหน่งแห่งหน ลาภยศสรรเสริญที่ผู้มีอำนาจปัจจุบันประเคนให้หลังปฏิวัติ ติดคออยู่จนพูดไม่ออกก็ไม่รู้

เรื่องแรกคือ มาตรการช่วยชาวนา สุดท้ายรัฐบาลทหารก็ทราบดีว่าวิธีการแก้ปัญหาให้ชาวนาและต่อไปในอนาคตอันใกล้อาจเป็นพืชผลการเกษตรตัวอื่นๆอีกคือ “การแทรกแซงราคา” แต่จะใช้กระบวนการแบบไหนและเรียกว่าอะไรก็ตามจะพบว่ารัฐต้องชดเชยทั้งสิ้น แปลว่ายังไงรัฐก็ต้องขาดทุน ดังนั้น ถ้าใช้ตรรกะเดียวกันในการดำเนินคดีนายกฯปูเรื่องจำนำข้าว ผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหาในรัฐบาลนี้ก็ต้องโดนดำเนินคดีเช่นกัน แต่เรากลับเห็นว่าไม่มีใครหน้าไหนออกมาโจมตีมาตรการช่วยชาวนาในขณะนี้ว่าทำให้รัฐขาดทุนแม้แต่คนเดียว สรุปคือบอกว่า “จำนำข้าวทำความเสียหายให้แผ่นดิน แต่จำนำยุ้งฉางไม่เป็นไร”

เรื่องต่อไปคือ ความเป็นธรรม เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นข้อกล่าวหาที่มีต่อฝ่ายที่ถูกยึดอำนาจ คดีจะวิ่งไปเร็วมากขนาด “จรวดยังต้องเรียกพี่” แต่ในทางตรงข้ามถ้าเป็นคดีเกี่ยวกับฝ่ายที่สนับสนุนการรัฐประหารจะพบว่าคดีความต่างๆเชื่องช้าและไม่ค่อยคืบหน้า ทั้งๆที่ความเสียหายในบางโครงการยังมองเห็นเป็นที่ประจักษ์ เช่น เสาโด่เด่ของสถานีตำรวจหลายร้อยแห่งที่สร้างไม่เสร็จเพราะผู้รับเหมาทิ้งงาน แต่ไม่เคยได้ยินว่าใครคือผู้ต้องหาและใครต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นคดียิ่งลักษณ์ ทุกฝ่ายต้องเร่งฟ้องให้เร็วที่สุด ซึ่งเรื่องนี้นายกฯปูก็ได้แต่ร้องขอความเป็นธรรม แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลแต่อย่างใด

อีกเรื่องคือ ข้อกล่าวหาว่ามีการโยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม เชื่อหรือไม่ว่าการย้ายข้าราชการซี 11 เพียงคนเดียวเป็นสาเหตุให้นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในปัจจุบันจะพบว่าท่านผู้นำสูงสุดย้ายข้าราชการระดับสูงเป็นว่าเล่น เฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวงไอซีทีที่ผมเคยทำงานอยู่ เชื่อไหมว่าภายหลังการปฏิวัติมีปลัดกระทรวงนี้ถึง 4 คนแล้ว ดังนั้น จากข้อเท็จจริงนี้จะพบว่าท่านผู้นำสูงสุดมีอำนาจเต็มในการโอนย้ายข้าราชการระดับสูงได้ตามอำเภอใจ แต่ไม่มีใครกล้าออกมาทักท้วงหรือร้องขอความเป็นธรรมแต่อย่างใด

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ปรากฏความจริงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เคยถูกใช้กล่าวหานักการเมือง แต่เมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติกลับไม่ได้หายไปและอาจทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมอีก โดยเฉพาะการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องและญาติพี่น้อง วันนี้หลายคนคงจำได้เรื่องบริษัทรับเหมาของหลานชายใครบางคน เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในรัฐบาลเลือกตั้งรัฐบาลคงอยู่ได้ไม่เกินอาทิตย์

หรือเรื่อง “นโยบายประชานิยม” ก็เช่นเดียวกัน โดนถล่มว่าเป็นนโยบายหาเสียงและนักการเมืองเป็นผู้ได้ประโยชน์ ทั้งที่จริงๆแล้ว “ผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากโครงการประชานิยมคือประชาชน” สุดท้ายแม้แต่รัฐบาลทหารเองก็ต้องให้ความสำคัญและนำมาปฏิบัติ แต่จะเอามาทั้งดุ้นก็ไม่ได้เพราะตัวเองด่าเอาไว้แยะ เลยเอามาแบบครึ่งๆกลางๆและเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “ประชารัฐ” ดังนั้น ประโยชน์ที่เหลืออยู่จะดีเท่าประชานิยมแบบเดิมหรือเปล่าคงต้องไปถามชาวบ้าน แต่ที่แน่ๆ “ประชานิยมห้ามทำ แต่ประชารัฐทำได้” ตรรกะแบบนี้ตามไม่ทันจริงๆ

ผมบ่นเรื่องเหล่านี้ให้ฟังเพื่อให้ผู้อ่านบางท่านได้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับพวกผม ความเป็นสองมาตรฐานแบบนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ฝ่ายหนึ่งมุ่งร้ายทำลายอีกฝ่ายหนึ่งให้สิ้นซาก ซึ่งหากปล่อยให้เป็นแบบนี้โดยไม่มีการแก้ไข และปล่อยให้ความไม่ยุติธรรมกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายล้างฝ่ายประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าความสำเร็จในการสร้างความปรองดองในชาติคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน


You must be logged in to post a comment Login