- ปีดับคนดังPosted 16 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ไม่ตายแล้วไปไหน / โดย ศิลป์ อิศเรศ
คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
มีคนจำนวนไม่น้อยหายตัวออกจากบ้านไปอย่างลึกลับและไร้ร่องรอย ตำรวจใช้เวลาสืบสวนนานหลายปีแต่ไม่พบเบาะแสใดๆจึงสรุปว่าพวกเขาเสียชีวิตแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานหลายสิบปีพวกเขากลับปรากฏตัวขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับครอบครัวว่าพวกเขาหายไปไหนมา
คดีคนหายตัวไปเฉยๆอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่ทิ้งเงื่อนงำอะไรเอาไว้เลยสร้างปริศนาให้ตำรวจมากพอดูอยู่แล้ว บางคนมีลูก มีภรรยา มีสามี มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง มีพ่อแม่ หรืออย่างน้อยก็มีครอบครัว แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่สามารถให้ข้อมูลได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้คนเหล่านี้หายสาบสูญไปเฉยๆ
แต่การที่จู่ๆพวกเขาปรากฏตัวขึ้นหลังจากตำรวจแทงบัญชีว่าเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ทั้งตำรวจและคนในครอบครัวของพวกเขาประหลาดใจมากยิ่งกว่าตอนที่หายตัวไป เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา และทำไมคนเหล่านี้จึงละทิ้งครอบครัวไปโดยไม่บอกกล่าว
40 ปีที่หายไป
ลูล่า โคร่า ฮูด แม่ม่ายวัย 45 ปี อาศัยอยู่ในเมืองเกลส์เบิร์ก รัฐอิลลินอยส์ กับลูกสาววัย 15 ปี จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1970 ลูล่ามีปากเสียงกับลูกสาววัยรุ่น เธอเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวเดินออกจากบ้านและหายตัวไปนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ตำรวจออกตามค้นหาแต่ไม่พบร่องรอยใดๆ จนกระทั่งในปี 1996 มีคนพบซากโครงกระดูกมนุษย์ในเตาเผาอิฐร้างแห่งหนึ่งในเมืองเกลส์เบิร์ก ตำรวจสรุปว่ามันคือโครงกระดูกของลูล่าที่หายตัวออกจากบ้านไปเมื่อ 26 ปีก่อน
เรื่องราวของลูล่าน่าจะจบลงเพียงแค่นั้น แต่หลังจากที่การชันสูตรทางนิติวิทยาศาสตร์ได้รับการพัฒนาจนสามารถตรวจสอบดีเอ็นเอทำให้ระบุตัวตนบุคคลได้อย่างแม่นยำ และพบว่าโครงกระดูกที่พบในเตาเผาอิฐร้างไม่ใช่ลูล่า จึงมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาอีกครั้งในปี 2009
คราวนี้ตำรวจมีคดีปริศนาเพิ่มขึ้นมาอีกคดี คดีแรกคือการหายตัวไปของลูล่า และคดีที่สองคือโครงกระดูกที่พบในเตาเผาอิฐร้างเป็นของใคร สำหรับคดีแรกตำรวจอาศัยดีเอ็นเอตามสืบจนพบตัวลูล่าในปี 2011
ลูล่ามีครอบครัวใหม่ มีลูก 14 คน ในเมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา เธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอเมื่อ 40 ปีก่อน จากการสืบสวนพบว่าลูล่ามีปัญหาทางจิตมาก่อน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอลืมเรื่องราวในชีวิตช่วงก่อนจะมีครอบครัวใหม่
ชีวิตในฝัน
ฟิลิป เซสซารีโก เป็นทหารกองทัพบกอังกฤษ เขาใฝ่ฝันว่าจะได้เป็นหนึ่งในหน่วยรบพิเศษ หรือที่นิยมเรียกชื่อย่อว่าหน่วย SAS (Special Air Service) เขายื่นใบสมัครถึง 2 ครั้งแต่ไม่ได้รับการคัดเลือก
ปี 1993 ฟิลิปถูกส่งไปประจำการที่ประเทศโครเอเชีย และเขาก็หายตัวไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กองทัพแทงบัญชีว่าฟิลิปเสียชีวิตจากการสู้รบ ในเวลาเดียวกันชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในชื่อทอม คาริว
ทอมอ้างว่าเคยเป็นทหารหน่วยรบพิเศษของอังกฤษมานานกว่า 20 ปี เขาเป็นครูฝึกการรบให้กับกองทัพมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถานเพื่อต่อสู้กับกองทัพรัสเซีย ในปี 2000 ทอมได้เขียนหนังสือเล่าเรื่องราวของตัวเขาชื่อ Jihad! The Secret War In Afghanistan (จีฮัด! สงครามลับในอัฟกานิสถาน)
หนังสือของทอมได้ขึ้นแท่นหนังสือขายดี เขาได้รับเชิญสัมภาษณ์ออกสื่อหลายครั้ง แต่เรื่องราวที่ออกสื่อสร้างความเคลือบแคลงใจให้กับสมาชิกหน่วยรบพิเศษอังกฤษคนอื่นๆ เนื่องจากข้อมูลต่างๆที่ทอมนำมาเปิดเผยนั้นไม่มีทางที่คนในหน่วยรบพิเศษจะนำมาพูดออกสื่อโดยเด็ดขาด
สมาชิกหน่วยรบพิเศษอังกฤษไล่ตรวจสอบข้อมูลปฏิบัติการลับที่ทอมอ้างถึงแล้วพบว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น จึงทำการสืบสวนต่อจนพบว่าทอมก็คือฟิลิปที่หายตัวไปในสงครามโครเอเชียเมื่อปี 1993
หลังจากถูกเปิดโปง ฟิลิปปลอมตัวอีกครั้งเป็นฟิลิป สตีเฟนสัน แต่ยังคงอ้างตัวเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ คราวนี้เขาตระเวนไปโชว์ตัวในเมืองต่างๆในประเทศเบลเยียม จนกระทั่งในปี 2009 มีคนพบศพเขาในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองแอนต์เวิร์ป
ฟิลิปเสียชีวิตจากการสูดดมก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากการเปิดเตาแก๊สปรุงอาหารภายในอพาร์ตเมนต์ที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดี แต่คราวนี้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นการแหกตาเหมือนการเสียชีวิตหลอกๆครั้งก่อนหน้านี้
กลับไม่ถึงบ้าน
วันที่ 21 มกราคม 1987 เกเบรียล นากี้ โทรศัพท์บอกกับภรรยาที่อาศัยอยู่ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ว่าวันนี้เขาจะกลับบ้านมากินข้าวเที่ยง แต่เกเบรียลก็เดินทางมาไม่ถึงบ้านและหายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
วันรุ่งขึ้นกำลังตำรวจออกตามค้นหาจนพบรถยนต์ของเกเบรียลพังยับเยินจอดข้างทาง จากการสืบสวนพบว่า 2 สัปดาห์หลังจากหายตัวไป เกเบรียลถอนเงินจากธนาคารไปซื้ออุปกรณ์แคมปิ้ง แต่นั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่ตำรวจสืบพบ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
หลังจากพยายามสืบหานานกว่า 23 ปี ในที่สุดปี 2010 ตำรวจก็แทงบัญชีว่าเกเบรียลเสียชีวิตแล้ว โดยระบุวันที่เสียชีวิตในวันที่เขาหายตัวไป เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ตำรวจอาวุโส จอร์เจีย โรบินสัน ผู้ที่ติดตามคดีนี้มาโดยตลอด ได้รื้อแฟ้มคดีขึ้นมาค้นหาข้อมูลที่อาจถูกมองข้ามไป
และเธอก็พบจริงๆ มันเป็นแบบฟอร์มประกันสุขภาพที่ลงทะเบียนในชื่อของเกเบรียล นากี้ จอร์เจียลองโทรศัพท์ไปที่หมายเลขติดต่อในแบบฟอร์มและคนที่รับสายคือเกเบรียล
ไร้ความทรงจำ
จอร์เจียรีบเดินทางไปหาเกเบรียลทันที เขาตกใจที่เห็นตำรวจมาหา หลังจากจอร์เจียเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เกเบรียลก็ยิ่งสับสน จอร์เจียค่อยๆนำภาพถ่ายเก่าๆของครอบครัวเกเบรียลออกมาให้ดู
ดูเหมือนวิธีการของเธอจะใช้ได้ผล เกเบรียลค่อยๆรื้อฟื้นความทรงจำได้ทีละน้อย จนกระทั่งเขาเริ่มจำได้ว่าเขาประสบอุบัติเหตุ ศีรษะได้รับบาดเจ็บมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก แต่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นอุบัติเหตุอะไร และก่อนหน้าเกิดอุบัติเหตุเขาเป็นใคร
เขาถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มนำไปซื้ออุปกรณ์แคมปิ้งและรอนแรมกางเต็นท์นอนตามสถานที่ต่างๆในเขตควีนส์แลนด์ หาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทั่วไป ตั้งแต่เป็นคนงานไร่ ลงเรือประมง ตลอดจนถึงกรรมกรก่อสร้าง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ชื่ออะไร จนกระทั่ง 2-3 ปีก่อนเขาได้พบกับบาทหลวงแบร์รี่ เฮย์โฮ ท่านได้รับอุปการะให้ที่อยู่อาศัยและให้งานประจำทำหน้าที่ดูแลโบสถ์ นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มจำความได้ทีละน้อยๆจนกระทั่งจำชื่อตัวเองได้
เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเขาชื่ออะไร เกเบรียลจึงไปลงทะเบียนประกันสุขภาพในชื่อของเกเบรียล นากี้ ทำให้จอร์เจียสามารถสืบตามจนพบตัวเขา ในที่สุดเกเบรียลก็ได้กลับมาพบภรรยาและลูก 2 คนที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วหลังจากที่พลัดพรากจากกันไปนานถึง 23 ปี
แม้ว่าตำรวจสามารถคลี่คลายคดีจนตามพบตัวผู้สูญหายได้ในที่สุด แต่คำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาจนทำให้สูญเสียความทรงจำในอดีตอย่างเฉียบพลันนั้นยังคงเป็นปริศนา
You must be logged in to post a comment Login