วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ปรากฏการณ์‘ทรัมป์’! / โดย ณ สันมหาพล

On November 21, 2016

คอลัมน์ : โลกไม่หยุดนิ่ง
ผู้เขียน : ณ สันมหาพล

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐพลิกล็อกชนิดสะเทือนไปทั้งโลก ทำให้เดิมที่จะเขียนถึงชัยชนะของฮิลลารี คลินตัน ก็ต้องเขียนถึงความพ่ายแพ้ ซึ่งคนไทยจำนวนมากไม่รู้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นคนที่คนอเมริกันคุ้นหน้ามานานในฐานะเจ้าพ่อสื่อและกีฬา ทรัมป์ทำให้มวยปล้ำเป็นความบันเทิงชั้นยอด เป็นผู้จัดการประกวดนางงาม และเป็นพิธีกรทางโทรทัศน์

ทรัมป์ฝันที่จะเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่เมื่อ 28 ปีที่แล้ว ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้คลินตันแพ้ในครั้งนี้คือ การใช้อีเมล์ส่วนตัวส่งข้อความการทำงานครั้งเป็นรัฐมนตรี ซึ่งไม่สมควรทำอย่างยิ่ง ทั้งที่ทรัมป์เองก็ถูกเปิดเผยข้อมูลถึงพฤติกรรมมากมายที่มีปัญหา ไม่ว่าการเหยียดสีผิว หรือดูถูกผู้หญิง

มีการวิเคราะห์มากมายถึงชัยชนะของทรัมป์และความพ่ายแพ้ของคลินตัน โดยเฉพาะทัศนคติของคนอเมริกันถือว่าการเลือกตั้งของสหรัฐคือการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ ซึ่งทำให้คนที่เคยด้อยสิทธิและโอกาส ไม่ว่าคนผิวดำ คนต่างเชื้อชาติ คนยากจน คนพิการ คนด้อยการศึกษา และผู้หญิง ต่างรู้สึกถึงสิทธิเสรีภาพในฐานะคนอเมริกัน แต่ที่ยังไม่มีคือความมั่นคงในชีวิตและความอยู่ดีกินดี

คำตอบจึงอยู่ที่การเมือง เพราะไม่ว่ายุคใดสมัยใดนักการเมืองล้วนเหมือนกันคือ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะวันนี้ถือเป็นยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่สหรัฐยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มนายทุนและกลุ่มผลประโยชน์เดิมๆ ซึ่งครอบงำทั้งพรรคการเมืองและนักการเมืองให้บริหารประเทศตามทิศทางที่ต้องการ

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ การเก็บภาษีที่เปิดโอกาสให้คนรวยสามารถหลบเลี่ยงได้หลายช่องทาง ทั้งยังเก็บในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสหรัฐถึงไม่มีระบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าเหมือนประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย ยิ่งผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ จึงทำให้คนผิวสี คนละตินจำนวนไม่น้อยลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ ทั้งที่เดิมจะลงคะแนนให้พรรคเดโมแครต ทั้งที่ทรัมป์พูดดูหมิ่นคนเหล่านี้และประกาศว่าจะส่งกลับประเทศ

มีการวิเคราะห์ว่า จำนวนคนผิวสีและคนละตินลงคะแนนให้คลินตันลดลง เมื่อเทียบกับที่เคยลงคะแนนให้บารัค โอบามา ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คือคนผิวสีร้อยละ 88 ลงคะแนนให้คลินตัน ร้อยละ 8 ลงให้ทรัมป์ แต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วลงให้โอบามาถึงร้อยละ 93 ขณะที่คนละตินร้อยละ 65 ลงให้คลินตัน และร้อยละ 29 ลงให้ทรัมป์ เทียบกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้วร้อยละ 71 ลงคะแนนให้โอบามา

ส่วนคนผิวขาวชั้นล่าง รวมทั้งคนที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ไหนแต่ไรมักเลือกพรรคเดโมแครต แต่ครั้งนี้ปรากฏว่ามีคนผิวขาวเพียงร้อยละ 37 ลงคะแนนให้คลินตัน เทียบกับร้อยละ 39 ที่ลงให้โอบามา

อีก 2 สาเหตุที่ทำให้คลินตันแพ้คือ ได้คะแนนเสียงจากคนวัย 18-29 ปี เพียงร้อยละ 55 เทียบกับโอบามาที่ได้ถึงร้อยละ 60 ทั้งที่คนกลุ่มนี้ปรกติจะเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต ส่วนเสียงของผู้หญิง คลินตันก็ได้เพียงร้อยละ 54 ขณะที่ทรัมป์ได้ร้อยละ 42 ทั้งที่มีการเปิดเผยพฤติกรรมการดูหมิ่นผู้หญิงมากมายก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะผลการสำรวจความเห็นก่อนการเลือกตั้งระบุว่า ผู้หญิงร้อยละ 74 รับไม่ได้กับการกระทำของทรัมป์

สรุปโดยรวมว่า สาเหตุที่ผลการเลือกตั้งออกมาพลิกล็อกเช่นนี้ เพราะคนอเมริกันเบื่อการเมืองและนักการเมืองแบบเดิมๆ อยากหาคนที่กล้าเปลี่ยนแปลงแบบไม่เกรงกลัวใดๆ ซึ่งก็ไปลงล็อกที่ทรัมป์ แม้จะมีพฤติกรรมและบุคลิกที่ไม่น่าประทับใจนัก

ทรัมป์จึงกลายเป็นความหวังของคนอเมริกันที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และกล้าจัดการกับปัญหาที่คั่งค้างมานาน เพื่อทำให้คนอเมริกันมีความมั่นคงในชีวิตและอยู่ดีกินดี

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ต้องเผชิญปัญหามากมายในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่อยู่ในฐานะมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก

แม้การชุมนุมประท้วงจะยังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงในหลายประเทศที่จะประท้วงทรัมป์ระหว่างการไปเยือน ซึ่งเป็นไปตามกระแสโลก แต่ท่าทีของทรัมป์หลังจากชนะการเลือกตั้งก็มีท่าทีไม่แข็งกร้าวอย่างตอนที่หาเสียง ซึ่งสัญญาว่าจะจัดการอย่างเด็ดขาดกับเรื่องต่างๆมากถึง 12 เรื่อง โดยแต่ละเรื่องล้วนหนักหนาสาหัสทั้งสิ้น

หากทรัมป์ทำตามที่หาเสียงจริงก็จะส่งผลกระทบอย่างมากมายทั้งต่อสหรัฐและโลก!


You must be logged in to post a comment Login