- อย่าไปอินPosted 8 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 1 day ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ยอมรับความจริง?
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
ของฟรีมีใครบ้างไม่ชอบ
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้มีรายได้น้อยกว่า 5,400,000 คน จะได้ร้องเฮดังๆ เมื่อรัฐบาลทหาร คสช.จะแจกเงินขวัญถุงให้เป็นของขวัญปีใหม่ เอาไปจับจ่ายกันแบบฟรีๆ
งานนี้รัฐบาลทหารคสช.ต้องใช้งบประมาณแบบให้เปล่า สูงถึง 12,750 ล้านบาท คนที่มีสิทธิ์รับเงินไปใช้ฟรีๆ คือผู้ที่ลงทะเบียนคนจนเอาไว้กับรัฐบาลที่อยู่นอกภาคการเกษตร ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 ต่อปี จะได้เงินไปใช้คนละ 3,000 บาท ตรงนี้มีผู้มีสิทธิ์ประมาณ 3,100,100 คน ที่เหลือเป็นผู้มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท จะได้รับเงินไปใช้ฟรีคนละ 1,500 บาท
ผลของการเทกระจาดแจกเงินครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า ประชานิยมไม่ได้เลวร้ายเสมอไป หรือจะพูดให้ตรงคือประชานิยมจะเลวร้ายหากนักการเมืองเป็นคนทำ นอกจากนี้ยังทำให้รู้ด้วยว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ดีอย่างที่พยายามบอกให้ประชาชนเชื่อ เพราะถ้าเศรษฐกิจดีคงไม่ต้องแจกเงิน
การแจกเงินแบบให้เปล่าของรัฐบาลทหารครั้งนี้ แม้แต่ต้นตำรับแจกเงินอย่าง นายกรณ์จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ ยังอดที่จะออกมาตั้งคำถามหาเหตุผลไม่ได้
ต้นตำรับเจ้าแรกถามหาเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลทหารคสช.จึงต้องแจกเงิน พร้อมอธิบายที่มาที่ไปของเช็คช่วยชาติรายละ 2,000 บาทที่แจกให้คนมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2552 ว่าเกิดจากเศรษฐกิจอยู่ในขั้นวิกฤต จีดีพีติดลบ 7% ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปลดคนงานออก มีคนตกงานเดือนละ 4-5 หมื่นคน จึงต้องใช้ยาแรงในการกระตุ้น
“มาตรการลักษณะนี้ไม่ควรทำบ่อย ผมบอกไปก่อนนี้ว่าจะทำเพียงครั้งเดียว ควรจะทำช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีรัฐบาลใดหยิบมาทำอีก จนมารัฐบาลชุดนี้ที่นำมาใช้อีกครั้ง ดังนั้นรัฐบาลต้องอธิบายเหตุผลให้ได้ เพราะรัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจขณะนี้ดีขึ้น ไม่มีปัญหาน่ากังวล และผมมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤต จนต้องนำมาตรการดังกล่าวมาใช้”
ยังไม่วิกฤตถึงขั้นต้องแจกเงิน แล้วแจกทำไม คือคำถามที่นายกรณ์ต้องการคำตอบจากรัฐบาลทหาร คสช. แถมบอกว่าการแจกเงินแม้จะมีข้อดีในเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ทำให้ประชาชนเป็นหนี้เพราะเป็นเงินให้ฟรี แต่เงินที่นำมาแจกก็เป็นภาษีประชาชนโดยรวมจึงต้องดูเรื่องความคุ้มค่า ที่สำคัญหากแจกกันบ่อยๆ จะทำให้ประชาชนเกิดความคาดหวังว่าในอนาคตจะมีรัฐบาลใจดีแจกเงินให้ใช้ฟรีๆอีก
ส่วนคนที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหาร คสช. อย่าง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ชี้ให้เห็นว่าการแจกเงินผู้มีรายได้น้อยเป็นหลักฐานยืนยันว่ารัฐบาลทหารคสช.จนปัญญาที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ไม่สามารถกระตุ้นด้วยวิธีการอื่นได้แล้วจึงแจกเงินให้ไปใช้กันดื้อๆ วิธีนี้ง่ายที่สุด ใช้ความคิดน้อยที่สุด และแทบไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ
รัฐบาลนี้เคยสร้างวาทกรรมกล่าวหารัฐบาลเพื่อไทยที่ดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวว่าเป็นประชานิยม ทำให้รัฐขาดทุน ทั้งที่เป็นนโยบายสาธารณะ และไม่ทำให้เสียวินัย เพราะไม่ได้เป็นการให้เปล่าเหมือนการแจกเงิน ทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อ เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องตามมามากมาย
นอกจากนี้ ยังตั้งคำถามเชิงเปรียบเทียบว่า การจำนำข้าวทำให้รากหญ้ามีรายได้ เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน รัฐจ่ายเงินแล้วได้ข้าวมาขายกลับถูกมองว่าเป็นประชานิยม เป็นความผิด แล้วการแจกเงินจะเรียกว่าอะไร
ยังมีอีกหลายความคิดเห็น หลายคำถามจากบุคคลหลายคน แต่ส่วนมากจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ ประชานิยมหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ คิดง่ายไปหรือไม่ ไหนบอกว่าเศรษฐกิจดี ฯลฯ
ฝากกระบอกเสียงรัฐบาลอย่าง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าเป็นมาตรการชั่วคราว แจกครั้งเดียวจบ ไม่มีอีกแล้ว ที่ต้องแจกเพราะสภาพเศรษฐกิจยังเปราะบาง และการแจกเงินก็เป็นมาตรการที่ทำควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ ที่อาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล พร้อมยืนยันว่าการแจกเงินครั้งนี้แตกต่างจากประชานิยมของนักการเมืองที่มุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบสะเปะสะปะ ไม่มีการตรวจสอบรายได้ ของรัฐบาลทหารคสช.ให้ประชาชนมาขึ้นทะเบียนก่อนจึงให้ความช่วยเหลือ
ไม่ว่าจะชี้แจงอย่างไร ก็มีคนจำได้ว่าการขึ้นทะเบียนคนจนไม่ได้เพิ่งทำในรัฐบาลทหารคสช.เป็นครั้งแรก แต่เคยทำมาแล้วในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย
ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร ดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารคสช.จะย่ำซ้ำรอยเท้านักการเมืองที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกประณามว่าเลวร้ายไม่ดีแทบทั้งสิ้น
สรุปคือวิธีการเหมือนเดิม แต่แตกต่างกันที่วาทกรรมที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใช้เรียก เพื่อให้ดูว่าไม่เป็นการลอกการบ้านนักการเมือง
You must be logged in to post a comment Login