วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เคลียร์ปมเดียวจบ / โดย ลอย ลมบน

On November 29, 2016

คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง
ผู้เขียน : ลอย ลมบน

กรณีของเบส-อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดที่เป็นกระแสมาได้พักใหญ่ มีเรื่องให้ได้เรียนรู้มากมาย

ปัญหาของเธอเกิดจากการขึ้นเวทีพูดเรื่อง “อยู่อย่างไทย หัวใจจงรักภักดี” ในโครงการสร้างการรับรู้ในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.มหาสารคาม เมื่อช่วงต้นปี 2559 ที่ผ่านมา

แต่เรื่องเพิ่งมาดังเพราะมีคนนำคลิปการพูดในวันดังกล่าวมาเผยแพร่ ซึ่งคำพูดบางช่วงบางตอนถูกมองว่าดูถูกคนอีสานว่าไม่รักในหลวงรัชกาลที่ 9 จนทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจ

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ถูกโยงเป็นเรื่องการเมือง เนื่องจากเธอถูกว่าจ้างโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อปฏิบัติการทางจิตวิทยามวลชน และมีปัญหาเรื่องค่าจ้างที่บางแหล่งว่าชั่วโมงละ 30,000 บาท บางแหล่งว่าเหมาจ่ายงานละ 35,000 บาท ซึ่งเป็นเรทราคาที่สูงผิดปรกติ

เรื่องนี้จะไม่มีปัญหามากหากมีการชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกของ คสช.

กว่าจะยอมรับและชี้แจงว่ามีการว่าจ้างกันจริงก็ต้องรอจำนนด้วยหลักฐานที่ถูกนำมาเปิดเผยผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์

คำชี้แจงของ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. สรุปได้ดังนี้

1.หน่วยงานของกองทัพไม่ได้ว่าจ้างเบสคนเดียว แต่จ้างนักพูดทุกคนที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำมาเป็นปรกติ

2.ที่จ้างเบสเพราะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการพูดโน้มน้าวใจ สามารถสร้างความรู้สึกที่ดีมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยหน้าที่แล้ว คสช. ก็ปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ตามหน้าที่อยู่แล้ว

3.ประเด็นเรื่องค่าตัวในการพูดไม่ทราบรายละเอียด แต่ยืนยันว่าเป็นไปตามระเบียบ

“อย่าไปมองเรื่องค่าตัวแล้วมาจับผิดกันว่ากองทัพบกต้องจ่ายชั่วโมงละ 3 หมื่นบาท 2 ชั่วโมงก็ 6 หมื่นบาท อย่าไปมองประเด็นอย่างนั้น เรามองประเด็นว่า เราเอาวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถมาบรรยายให้แก่กำลังพลที่แสดงออกถึงความจงรักภักดี ตอนนี้กระแสสังคมกลับกลายเป็นว่า พออธิบายไปเรื่องหนึ่งก็จะขยายบิดเบือนไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะมีกลุ่มคนที่จุดกระแสเรื่องเหล่านี้อยู่ เพราะต้องการที่จะนำไปสู่ความแตกแยก แต่หากให้เรามองเป็นกลางว่าวิทยากรเขาพูดเรื่องอะไร ผมว่าตรงนั้นเป็นแก่นมากกว่า เพราะเขามาพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในแง่ของความจงรักภักดี ในฐานะที่เป็นคนไทย และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องเทิดทูนและรักษาไว้”

ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ คำชี้แจงที่ว่าให้ดูที่แก่นหรือเนื้อหาสาระที่พูดนั้นก็เรื่องความจงรักภักดี อย่ามองที่เรื่องค่าจ้างเพียงอย่างเดียว

ที่สำคัญคือการชี้แจงทำนองที่ว่ามีคนจับจ้องนำเรื่องนี้มาขยายผลทางการเมืองให้เกิดความแตกแยก

นอกจากการชี้แจงของ คสช. แล้ว ช่วงที่ผ่านมายังมีความเห็นจากฝ่ายสนับสนุน คสช. แสดงความเห็นในทำนองที่สอดคล้องกันที่ว่ากรณีของเธอมีคนต้องการสร้างเรื่องเพื่อปลุกม็อบคนอีสานขึ้นมาต่อต้าน คสช. โดยนำเรื่องนี้ไปผูกโยงกับเรื่องยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร การทำโครงการรับจำนำข้าว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรพิจารณาจากเรื่องนี้มีหลายประเด็น

1.ที่ว่าให้พิจารณาจากแก่นหรือเนื้อหาสาระในการพูดมากกว่าค่าตัวที่ได้รับนั้น

กรณีคงไม่อาจนำมารวมเป็นเรื่องเดียวกันได้ หากจะให้พิจารณาจากแก่นหรือเนื้อหาสาระที่พูดก็ควรพิจารณาในมุมที่ว่าผู้พูดมีเจตนากล่าวหาคนอีสานว่าไม่จงรักภักดีจริงหรือไม่

ส่วนเรื่องค่าตัวที่จ่ายกันนั้นเป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณาแยกต่างหากว่าจ่ายกันจริงเท่าไร ถูกต้องตามระเบียบที่ราชการกำหนดไว้หรือไม่ หากไม่ถูกต้องใครควรรับผิดชอบจากความไม่ถูกต้องนี้

2.ความพยายามที่จะโยงเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองเพื่อปลุกม็อบต้าน คสช. เพื่อล้มการยึดทรัพย์จำนำข้าวนั้น หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงแม้จะมีม็อบลุกฮือขึ้นมาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการยึดทรัพย์รับจำนำข้าว

ในข้อเท็จจริงแม้จะมีการชุมนุมขับไล่ คสช. ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ คำสั่งทางปกครองที่เรียกค่าเสียหายจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ 35,000 ล้านบาทก็ยังคงอยู่ เมื่อคำสั่งยังคงอยู่ก็จะมีสภาพบังคับใช้ต่อไป การมีหรือไม่มีม็อบต่อต้าน คสช. ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องค่าเสียหายรับจำนำข้าว

หยุดกล่าวหากันไปมาแล้วเอาเรื่องค่าตัวในการบรรยายซึ่งน่าจะเป็นแก่นของเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดก่อนว่าจ่ายกันถูกต้องตามระเบียบราชการกำหนดหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องใครควรรับผิดชอบ

ส่วนเรื่องดูหมิ่นคนอีสานหรือไม่อย่างไรนั้น เรื่องนี้ผู้พูดคงรู้เจตนาของตัวเองดีว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นเพื่ออะไร หวังผลต่อที่สิ่งพูดอย่างไร


You must be logged in to post a comment Login