วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สังคมคนดี(แต่พูด) / โดย ทีมข่าวการเมือง

On November 29, 2016

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

วันนี้แทบไม่มีใครไม่รู้จัก “เบส-อรพิมพ์ รักษาผล” นักพูดชื่อดังที่ไม่เคยมีใครรู้ว่าดัง ซึ่งตกเป็นข่าวในโลกออนไลน์และทะลุขึ้นสู่ข่าวในสื่อกระแสหลักตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าตัวออกมาให้ข่าวเองว่าสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยปฏิเสธให้วีซ่าเข้าสหรัฐ โดย “เบส” ให้สัมภาษณ์ (15 พฤศจิกายน) ว่าเพราะติดเครดิตบูโร ไม่มีงานประจำ ฐานะทางการเงินจึงไม่ชัดเจน จนทำให้ต้องยกเลิกงานทอล์คโชว์ที่สหรัฐ นำมาสู่การตีความสาเหตุกันไปต่างๆนานา แต่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กลับโพสต์ชี้แจงข้อเท็จจริงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลักฐานการยื่นขอวีซ่า

ข่าวสวนกลับแบบนั้นจึงยิ่งทำให้ “เบส” ดังกระหึ่มทั้งในโลกออนไลน์และสื่อทั่วไป มีการขุดคุ้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักพูดที่มีความสามารถในการพูดปลุกเร้าอารมณ์ให้คนฟังน้ำตาไหลแทบทุกที่ที่ไปพูด แต่กลับพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด ยิ่งเมื่อมีการเผยแพร่คลิปที่ “เบส” พูดพาดพิงถึงคนอีสานเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ซึ่งกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคามจัดโครงการสร้างการรับรู้ในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ที่หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม โดยมีนักเรียนโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 26 จังหวัดมหาสารคาม 35 โรงเรียน และสถาบันการอาชีวศึกษามหาสารคาม 4 สถาบัน จำนวนกว่า 3,000 คนร่วมรับฟัง โดยมีคำพูดตอนหนึ่งว่า

“พี่จะไม่ถามว่ารักในหลวงไหม รู้อย่างเดียวว่าคนอีสาน (เม้มปาก) ในหลวงเสด็จฯบ่อยมากและช่วยคุณเยอะมาก คนอีสานคะ โปรดฟัง ในหลวงรักพวกคุณ แปลกนะที่บางทีพวกคุณลืมในหลวงเนอะ แปลกอ่ะ พี่ไม่ได้ว่านะ พี่เข้าใจ เพราะคุณมันเกิดช้าไง”

ปฏิกิริยาคนอีสาน-โซเชียล

คลิปดังกล่าวเป็นข่าวหลังจากเฟซบุ๊ค “ปกรณ์ พรชีวางกูร” นำมาเผยแพร่พร้อมข้อความ (17 พฤศจิกายน) ว่า “คนอีสานคิดยังไงกับคลิปนี้ครับ… กดแชร์สิครับ อยากรู้ครับว่าคนอีสานคิดยังไง อยากรู้ครับว่าคนไทยคิดยังไงกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูด คนพูดชื่อ…เบส อรพิมพ์ รักษาผล”

ปรากฏว่ามีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นไม่พอใจ “เบส” เป็นจำนวนมาก ยิ่งได้รับการขยายความจากเพจอย่าง “อาณาจักรไบกอน Returns” ที่โพสต์ถามว่า “คุณเอาอะไรมาวัดค่าความจงรักภักดี สันดาน…แบบนี้สมแล้วที่ประเทศที่เค้ามีเสรีภาพไม่ให้เข้าประเทศ ความคิดในกะลา มองคนไม่เท่ากัน คนอีสานถึงเค้าจะพูดไม่เก่งเท่าคุณ ถึงเค้าจะแสดงออกไม่เก่งเท่าคุณ แต่โปรดสำเหนียกไว้ เค้าก็รักไม่น้อยกว่าคุณหรอก” กรณีของ “เบส” จึงยิ่งไปกันใหญ่

ขณะที่เพจ “หมออั้ม-อิราวัต อารีกิจ” โพสต์ว่า คลิป(เบส)นี้ฝากแชร์เลยครับ เพื่อให้เห็นธาตุแท้นักพูดบางคนที่สักแต่พูดๆๆๆเอาดีเข้าตัว และผูกมัดความคิดยัดเยียดความเชื่อของตนเองให้กับผู้ฟัง จากคลิปผู้พูดมีอคติกับผู้คน ใจแคบและมีความอัปยศในวิสัยทัศน์ เอาการเมืองมาเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ตัดสินคน ตัดสินผู้คนแทนเบื้องสูง อ้างเบื้องสูง ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หนำซ้ำยังดูหมิ่นประชาชนคนอีสาน

“นี่หรือนักพูดของพ่อ อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาทั้งนั้น ใครจะเว้นที่ยืนให้เธอก็แล้วแต่ครับ แต่ไม่ใช่ผมแน่ ยิ่งเห็นอ้างพระองค์ท่านแบบนี้ยิ่งรู้สึกโกรธและยากต่อการจะวางเฉย คนที่มีใจรักสถาบันฯ คนที่มองคนเท่ากัน คนที่รักประชาธิปไตยเข้าใจความรู้สึกผมดี”

แต่ที่เป็นข่าวจนทำให้คนทั่วไปต้องมาสนใจ “เบส” คือโพสต์ของตลกชื่อดังเลือดอีสาน “ตุ๊กกี้-สุดารัตน์” หรือ “ตุ๊กกี้ชิงร้อยชิงล้าน” ระบุในเชิงสั่งสอนและแนะนำว่า “บารมียังไม่พอ อย่าไปกล่าวถึงใคร เอาเรื่องตัวเองเท่านั้น จะดี โลกไปไกล คำพูดถ้าพาดพิงมันจะกลับมาทำลายเรา! เอาเรื่องในหลวงมาพูดจนมีงานการทำนี้ก็ควรจะพอแล้ว ไปพูดถึงคนอีสานทำไม เอาเรื่องเดียวพอแล้ว จำไว้ ใครๆก็รักในหลวงทั้งนั้น”

หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว “เบส” ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านอินสตาแกรม best_orapim (18 พฤศจิกายน) ว่า “ในวันที่ไม่มีอะไรปกป้องเราได้เลย นอกจากความตั้งใจดีที่ทำมา” แต่คอมเมนต์ต่อท้ายโพสต์ของ “เบส” กลับมีความหลากหลายที่แสดงความไม่พอใจ อาทิ “การดูถูกผู้อื่นคงไม่ใช่ความดีมั้งคะ ส่วนที่ทำดีก็เป็นคุณแก่ตัว แต่ที่พูดจาไม่คิด นี่ต้องรับผิดชอบค่ะ # คนไทย 1 ใน 3 เป็นคนอีสานค่ะ” และ “จำไว้นะคะ เวลาจะพูด อย่าพาดพิงถึงใครในทางเสื่อมเสีย ไม่งั้นคุณจะไม่มีที่ยืนในสังคม บารมีที่คุณสั่งสมมาพังลงเพราะคำดูถูกคนของคุณหมดแล้วค่ะ ออกมาก้มหน้ายอมรับผิดในสิ่งที่คุณทำดีกว่า คุณจะมาโพสต์ กระแหนะกระแหนสังคม คนอีสานทำไมคะ”

“เทอดศักดิ์” ปลุกผีล้มเจ้า (อีก)

กระแสข่าว “เบส” แทนที่จะสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น กลับยิ่งบานปลายมากขึ้นเมื่อนายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา นายกสโมสรสื่อมวลชนภาคเหนือแห่งประเทศไทย ที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนเสื้อแดง ได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊คเรียกร้องให้ผู้บริหารเวิร์คพอยท์พิจารณาการกระทำของ “ตุ๊กกี้” ว่าเหมาะสมหรือไม่ และให้สังคมออนไลน์ร่วมลงชื่อสนับสนุน โดยระบุว่า

“ผมในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่รักชาติ ขอเรียกร้องให้คุณปัญญา ผู้บริหารเวิร์คพอยท์ พิจารณาการกระทำของ “ตุ๊กกี้” ตลกที่นิยมชมชอบ…ว่าเหมาะสมหรือไม่ในการแสดงออกต่อน้องเบส ที่เจตนาดี ปกป้องในหลวงและพระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกตำหนิจากการบิดเบือน”

การเรียกร้องให้เวิร์คพอยท์ปลด “ตุ๊กกี้” ทำให้ชาวเน็ตถามนายเทอดศักดิ์ว่า “ตุ๊กกี้” ทำอะไรผิด “ตุ๊กกี้” ก็เหมือนคนอีสานอีกหลายคนที่โกรธและไม่พอใจคำพูดของ “เบส” แต่นายเทอดศักดิ์กลับโพสต์ว่า กรณี “ตุ๊กกี้กับเบส” มีเบื้องหลัง และทั้ง 2 คนคือเหยื่อทางการเมืองควบคู่กับการโจมตีทหารที่มีเป้าหมายจะปลุกประชาชนออกมาปฏิวัติประชาชนเหมือนที่ทำในฮังการี บาวาเรีย รัสเซีย จีน

นายเทอดศักดิ์ยังบอกว่า กรณีของเบสมีตัวอย่างคล้ายในฟิลิปปินส์จนมีประชาชนออกมาบนท้องถนน สุดท้ายมีการส่งชายชุดดำไปฆ่าผู้ชุมนุม สหรัฐก็ลักษณะเดียวกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการโกรธแค้นจนกลายเป็นจลาจล บานปลายเป็นสงครามกลางเมือง เป็นสูตรทางการเมืองที่คนไทยเคยเผชิญแบบนี้ตอนเมษาจลาจลปี 52 พฤษภาทะเลเพลิงปี 53 กลยุทธ์ที่สำคัญในเรื่องนี้ที่ผมต้องเรียกร้องไปยังคุณปัญญามีเป้าหลักคือ ให้คนไทยมาสนใจข้อเท็จจริง อย่าถูกหลอกต้มจากการตัดต่อสร้างวาทกรรมหลอกลวง “คนอีสานไม่รักในหลวง” ที่กลุ่มขบวนการล้มเจ้ากุข่าวขึ้นเพื่อหลอกคนมาตายแทน โดยเขาได้จ้างคนรอไว้แล้วหัวละ 400 เพื่อเข้าสมทบในการชุมนุม แล้วจะสังหารทำร้ายผู้ชุมนุมตามสูตรยุทธศาสตร์การเมือง เพื่อปลุกแรงเกลียดชังรัฐบาลทหารที่จะลามปามเป็นการล้มสถาบัน ประวัติศาสตร์ในยุคพฤษภาทมิฬเป็นตัวอย่าง ชุลมุนจนงง ศพหาย จับมือใครดมไม่ได้จนถึงปัจจุบัน

“จากผลของการเดินกลยุทธ์นี้เป็นข่าวเพียงข้ามคืน ทำให้มีผู้เข้ามาชมคลิปใน vihok news ในยูทูบสูงมากกว่า 13 ล้านวิว ความจริงเกี่ยวกับสถาบันที่ถูกป้ายสีที่ผมอธิบายทั้งหมดไว้พร้อมหลักฐานถูกชมอย่างต่อเนื่องจากทั้งนอกและในประเทศ

ตอนนี้ม็อบจุดไม่ติด คนไทยรู้เท่าทันอุบายสร้างกระแสการก่อตัวของม็อบโดยใช้เบสเป็นเครื่องมือมากขึ้น ม็อบจึงจุดไม่ติด ที่เขาทำแบบนี้เพราะกำลังจะถูกยึดทรัพย์จำนำข้าวทั้งโคตร

มีคนถามผมว่าคุ้มไหมที่เอาตัวเองมาโดนด่าแบบนี้ ผมถามกลับว่าคุ้มไหมที่จะไม่มีม็อบออกมาก่อจลาจลและต่อต้านพระราชพิธีในการครองราชย์ในเดือนมหามงคล และคุ้มไหมที่คนไทยจะได้มาชมคลิปความจริงของสถาบันที่ถูกป้ายสีเสมอมาตลอด 10 ปี”

ขนลุกวาทกรรม “เทอดศักดิ์”

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ได้โพสต์ข้อความถึงนายเทอดศักดิ์ว่า “ผมขนลุกกว่าที่มีคนฟังเทอดศักดิ์แล้วไม่ตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่เขาพูด

1.กรณีที่เทอดศักดิ์บอกว่ากรณีเบสเป็นการวางยาของฝ่ายตรงข้าม แต่อย่าลืมว่าพวกเสื้อแดงแทบไม่มีใครรู้จักเบสมาก่อน และกรณีนี้เกิดจากเจ้าตัวให้สัมภาษณ์สื่อเรื่อง VISA ดังนั้น คนเปิดงานจริงๆคือเบส

2.การอ้างว่ามีการเตรียมม็อบไว้ล้ม คสช. จากการปลุกกระแสต้านเบส อันนี้โคตรมักง่าย พูดแบบนี้ทุกครั้งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ครั้งนี้กล้าถึงกับบอกว่ามีการจ่ายเงินไปแล้ว รอเป่านกหวีดให้ออกมา ถ้าเทอดศักดิ์รู้ขนาดนี้ ระบุมาเลยดีกว่าว่าใคร

3.เทอดศักดิ์ทำคลิปปั่นกระแส ตั้งหัวข้อหวาดเสียวตลอด สถานะที่ยืนของเทอดศักดิ์ก็คล้ายๆกับเบสนั่นแหละ แต่อาการหนักกว่ามาก ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่การเทิดทูนสถาบัน แต่อยู่ตรงที่วิธีการที่ใช้ในการตำหนิผู้อื่นแบบที่เบสและเทอดศักดิ์ชอบกระทำ”

นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊คกรณีนายเทอดศักดิ์ไล่ล่า “ตุ๊กกี้” ว่า “ปรากฏการณ์ทั้งเบสและเทอดศักดิ์สะท้อนว่าสังคมไทยเป็นสังคมอ่อนวิชาความรู้ ทำให้คนที่ไม่อ่านหนังสือและมีความรู้อันกลวงว่างเปล่ากลายเป็นคนดัง ยอดไลค์และความนิยมชมชอบในคนเหล่านี้สะท้อนถึงความไร้สาระรวมหมู่ ไม่ต้องพูดกันเลยเรื่องความคิดว่าจะไปในทิศทางไหน เอาแค่เรื่องข้อมูลพื้นฐานก็ไปไม่รอดแล้วทั้งสองคน”

ขณะที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการชื่อดัง โพสต์กรณีนายเทอดศักดิ์ที่อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญยุทธศาสตร์การเมืองว่า มั่วมากๆในแง่ข้อมูลหรือ facts พื้นๆ โดยยกคำของอันโตนิโอ กรัมซี่ นักทฤษฎีปฏิวัติมาร์กซิสต์ชาวอิตาลี มาอธิบายว่า “เป็นวิกฤตอันประกอบด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ของเก่าก็ตายไป ของใหม่ไม่อาจเกิดได้ ในภาวะแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ปรากฏอาการเน่าเฟะสารพัด” และสรุปว่า “การที่คนที่ “อ่อน” มากๆขนาดนี้กลายเป็นคน “ดัง” ได้ มันสะท้อน morbid symptoms* หรืออาการป่วยของสังคมไทยในหลายปีที่ผ่านมา”

กองทัพโดดหนี “เบส-เทอดศักดิ์”

การโพสต์คลิปวิดีโอผ่านยูทูบของนายเทอดศักดิ์ที่ระบุกรณี “เบส-ตุ๊กกี้” ว่าเป็นการวางแผนของกลุ่มขบวนการล้มเจ้าและมีผู้ติดตามจำนวนมากนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า เป็นการให้ข้อมูลที่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และบางคลิปก็มีความล่อแหลม โดยจะต้องเข้าไปดูแลทั้งหมด แต่ขอให้เกิดความชัดเจนก่อน ซึ่งมีหน่วยงานที่ดูแลอยู่ ไม่นานคงจะมาให้รายละเอียด เมื่อได้รายละเอียดแล้วจะให้โฆษกแจ้งให้ทราบ ถ้าบิดเบือน ไม่ใช่เรื่องจริง ก็ต้องดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ส่วนกรณีนายคารม พลพรกลาง ทนายความ แจ้งความดำเนินคดีกับ “เบส” ว่าพูดในลักษณะหมิ่นประมาทคนอีสานนั้น แม้หลายฝ่ายมองว่าไม่ได้เข้าข่ายหมิ่น หรือเป็นคดีที่ขาดอายุความไปแล้ว แต่ก็มีรายงานข่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเข้าข่ายยุยงให้มีการแตกแยกหรือไม่ โดยบอกว่าส่วนตัวที่ดูคลิปวิดีโอคร่าวๆก็มองว่าน่าจะเข้าข่ายความผิด แต่ต้องขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนในการพิจารณา ซึ่งยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะการพูดในที่สาธารณะต้องใช้วิจารณญาณในการสื่อสารว่าสิ่งใดควรพูดหรือไม่ควรพูด ทั้งยังสั่งการให้ทุกพื้นที่เฝ้าติดตามดูแลป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงกับกลุ่มที่เห็นต่าง โดยเฉพาะกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย อยากให้คนไทยรักและสามัคคีกัน

ค่าวิทยากรชั่วโมงละ 30,000 บาท

กรณี “เบส” ยังถูกขยายถึงเรื่องค่าบรรยายที่สูงถึงชั่วโมงละ 30,000 บาท โดยเพจ “พลเมืองต่อต้าน Single Gateway : Thailand Internet Firewall” ได้เผยแพร่เอกสารกำหนดการบรรยายโครงการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมนักศึกษาหัวข้อ “อย่างไรที่เรียกว่ารัก” วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ระบุว่า เป็นการบรรยายของ “เบส” และมีค่าตอบแทนการเป็นวิทยากร 30,000 บาท ทั้งที่ระเบียบหลักเกณฑ์อัตราค่าใช้จ่ายและแนวทางการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีของการฝึกอบรมสัมมนาการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ประกอบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ที่เบิกจ่ายในลักษณะค่าตอบแทนระบุค่าวิทยากรที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไว้ที่ “ไม่เกิน 1,600 บาท”

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการแชร์คลิปวิดีโอจากเว็บไซต์ยูทูบการอบรมวิทยากรประชารัฐต้นแบบเมื่อวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2559 ณ หอประชุมกิตติขจร กองทัพบก เป็นการบรรยายพิเศษเรื่อง “เหตุผลความจำเป็นที่ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน Road Map ของรัฐบาลและ คสช.” โดยอรพิมพ์ รักษาผล วิทยากรสร้างแรงบันดาลใจ

การบรรยายดังกล่าวทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่ “เบส” ไปพูดตามโครงการต่างๆของหน่วยงานราชการนั้นได้รับค่าตอบแทนในราคาแท้จริงเท่าไร และผิดระเบียบการเบิกจ่ายค่าวิทยากรของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังหรือไม่ รวมถึงคำถามว่า “เบส” ได้รับการว่าจ้างเพื่อทำงานด้านจิตวิทยาประชาสัมพันธ์ให้กับกองทัพและ คสช. หรือไม่ แม้ พล.อ.ประวิตรเองก็ปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง แต่ดูจากทีวีก็คิดว่าเป็นคนเก่ง ในขณะที่โฆษกกองทัพต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีการว่าจ้าง “เบส” แต่อย่างใด และไม่สามารถให้ความกระจ่างเรื่องนี้ได้ ยิ่งทำให้การค้นหาความจริงจากหน้าเพจต่างๆในสังคมออนไลน์มีความสำคัญมากขึ้น

สตง. ชี้ค่าตัว 30,000 ปรกติ

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศราว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีหน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ของกองทัพจัดกิจกรรม 4 ภูมิภาค และเชิญ “เบส” ร่วมกิจกรรมจริง แต่ไม่มีการจ่ายค่าจ้างในอัตราชั่วโมงละ 30,000 บาทแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงคือ ไม่ได้จ่ายค่าจ้างพูด แต่เชิญมาพูดในฐานะวิทยากรจิตอาสา ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าเดินทาง ค่าจัดสถานที่ ค่าอาหารว่าง เครื่องดื่มเท่านั้น

สรุปคือพูดฟรี ไม่มีค่าจ้าง สวนทางกับเอกสารที่มีการนำมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ที่ระบุค่าจ้างชัดเจน ซึ่งนายพิศิษฐ์ได้กล่าวถึงหน่วยงานที่พบว่ามีการว่าจ้าง “เบส” พูดในอัตราชั่วโมงละ 30,000 บาทนั้น เท่าที่พบเบื้องต้นเช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ถือว่าไม่สูงผิดปรกติ เพราะเป็นอัตราของนักพูดชื่อดังทั่วไป และมีระเบียบเปิดช่องให้จ่ายได้

ก่อนหน้านี้ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. ก็ยืนยันว่า น.ส.อรพิมพ์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สังกัดกองทัพ ส่วนการเชิญมาพูดในงานต่างๆเพราะมีชื่อเสียงและความสามารถที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของงานเท่านั้น ส่วน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. ก็กล่าวในลักษณะเดียวกัน และขอร้องอย่าสงสัยเรื่องค่าตอบแทน เพราะไม่ได้เป็นส่วนสำคัญ

ขณะที่ พ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. ยอมรับว่า เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา กอ.รมน. ได้เชิญ น.ส.อรพิมพ์มาบรรยายในฐานะผู้พูดที่สร้างให้เกิดจิตสำนึกรักชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์ แต่ใช้เวลาบรรยายไม่ถึงชั่วโมง เนื่องจากมีการเชิญวิทยากรหลายคน เพราะเป็นการประชุมสรุปผลงานของ กอ.รมน. ประจำปี 2559 ที่มีรอง ผอ.กอ.รมน.จังหวัดทั่วประเทศร่วมรับฟัง ส่วนค่าตอบแทน น.ส.อรพิมพ์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสาร จะชี้แจงต่อไป ซึ่งค่าตอบแทนก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณ

สังคมคนดี(แต่พูด)

กรณี “เบส” ไม่ใช่แค่เรื่องค่าตอบแทนที่มีหรือไม่มี เพราะไม่ว่าจะใช้ใครมาทำงานก็ย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่ต้องพูดถึงก็คือ สงคราม IO (Information Operation) หรือปฏิบัติการข่าวสาร ซึ่งเป็นศัพท์ที่นำมาใช้หลังสิ้นสุดยุคสงครามเย็น ในแง่ปฏิบัติและรูปแบบก็คือการทำสงครามจิตวิทยา ซึ่งฝ่ายความมั่นคงทั่วโลกใช้เพื่อประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อ และการลวงทางการเมืองและทหาร ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะได้ชัยชนะ ประเทศทั่วโลกต่างก็พัฒนากองทัพไซเบอร์ควบคู่กับปฏิบัติการด้านการข่าว ซึ่งมีการใช้จริงในปัจจุบัน และฝ่ายที่ใช้อย่างหนักหน่วงมาตลอดก็คือฝ่ายที่ “เบส” เข้าไปเป็นเครื่องมือให้

ส่วนกรณีที่นายเทอดศักดิ์ระบุว่า “เบส-ตุ๊กกี้” ตกเป็นเหยื่อการเมืองก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก เพราะทุกคนตกเป็นเหยื่อจากการแย่งอำนาจทั้งสิ้น แต่ที่สังคมข้องใจคือ การเผยแพร่ข้อมูลชนิดที่ “ตอแหล” ต้องเรียกพี่ อย่างเช่นการอ้างถึงขบวนการล้มเจ้า ซึ่งก่อนหน้านี้ฝ่ายความมั่นคงก็เคยอุปโลกน์ “ผังล้มเจ้า” เพื่อใช้ปราบปรามคนเสื้อแดงมาแล้ว และภายหลังเมื่อความจริงทยอยปรากฏจึงค่อยออกมายอมรับว่าเป็นแค่ “ผังกำมะลอ” ที่มโนขึ้นมาเองเท่านั้น

กรณี “เบส” จึงเป็นอีกกรณีที่น่าจะทำให้สังคมไทยตาสว่างถึงการแบ่งพวก แบ่งสี แบ่งฝ่าย ที่เต็มไปด้วยความอคติและเกลียดชังที่ยังฝังลึกในสังคมไทยที่ทำให้บ้านเมืองวิกฤตจนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ของคนไม่กี่คนไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

อย่างที่อาจารย์ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิตและนักวิชาการชื่อดังด้านรัฐศาสตร์ที่เพิ่งเสียชีวิต บอกว่า “อย่าปฏิเสธความจริงเลย วิกฤตที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยเป็นวิกฤตที่สร้างขึ้นมา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีวิกฤตก็สร้างวิกฤต เพื่อให้มีวิกฤต เพื่อที่จะให้มีเหตุเอาคนนอกมาเป็นนายกฯได้ทันที ที่เป็นอย่างนี้มันขัดมาตรา 3 มันขัดหลักประชาธิปไตย และมันเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดวิกฤตอย่างหนัก”

ประเด็น “เบส” นอกจากบรรยายในลักษณะปลุกจิตสำนึกรักชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์ แต่ “เบส” เองก็ยอมรับว่าได้บรรยายถึง “เหตุผลความจำเป็นที่ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน Road Map ของรัฐบาลและ คสช.” ซึ่ง “เบส” ก็เคยเปิดเผยว่า ทำงานเรื่องสร้างความสามัคคีให้กองทัพมา 3 เดือนแล้ว จึงไม่ใช่รัก คสช. ธรรมดา แต่โคตรรักเลย

กรณี “เบส” ไม่ใช่แค่พูดปลุกจิตสำนึกให้รักชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์ตามปรกติ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ใช้คำพูดกล่าวหาว่า “คนอีสานไม่รักในหลวง” ซึ่งถือเป็นคำพูดที่ร้ายแรงและยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้นอีกด้วย การปลุกจิตสำนึกอย่างบ้าคลั่ง หรือเหยียดหยามชาติพันธุ์ จึงใกล้เคียงกับการปลุกระดมหรือโฆษณาชวนเชื่อได้หากใช้อย่างไม่บันยะบันยัง หรือโหนสถาบันกันอย่างไร้สติ นักพูดที่เก่งกาจมั่นใจตัวเองเกินล้านเปอร์เซ็นต์ที่ควรพูดให้คนฟังคิดเป็นบวกจึงอาจพลาดพลั้งทำให้เป็นลบอย่างที่เห็น รวมถึงการโพสต์แสดงความรู้ที่ผิดๆ หรือพูดเอามันส์อย่างเดียวของกองเชียร์ หรือผู้ตั้งตนเป็นกูรู (ไม่เว้นว่าจะสีไหนฝ่ายไหน) โดยไม่หาข้อมูลรอบด้าน รวมถึงการ “แถ-ลง” แทนที่จะ “แถลง” ด้วยข้อเท็จจริงจากหน่วยงานรัฐ ก็ยิ่งซ้ำเติมทำให้สถานการณ์บานปลายมากขึ้นไปอีก

“คนดี” จึงไม่ควรแค่ “ดีแต่พูด” หรือใช้วาทกรรมไปวันๆเพื่อยื้ออำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหารฉีกกฎหมายเท่านั้น อย่าลืมเป้าหมายที่ท่านเสียสละตนเอง ยอมปล้นอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้งจนได้รัฐบาลเผด็จการเข้ามาบริหารประเทศก็คือ “สร้างความปรองดอง” สลายสีเสื้อ แต่เวลาผ่านไป 2 ปีครึ่ง ท่านคิดว่า “ไปถึงไหนแล้ว?”

หรือจะเอาแค่ทำให้คนฟังถูกปลุกอารมณ์ ฟังแล้ว “น้ำตา” ไหล ในขณะที่คนพูดปลุกอารมณ์ก็พูดไป “น้ำลาย” ก็ไหลไป..

ถ้าสังคมไทยยังมีแต่ “คนดี (แต่พูด)” ..หลังจบ “สงครามน้ำลาย” เราคงหนีไม่พ้น “สงครามกลางเมือง”

คนไทยผู้รักชาติ (ไม่ว่าสีไหน) คุณอยากเห็นบ้านเมืองเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?


You must be logged in to post a comment Login