- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ศาสนากับความยุติธรรม / โดย บรรจง บินกาซัน
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
เพราะสมองของมนุษย์ต่างกับสมองของสัตว์ตรงที่สมองของมนุษย์สามารถคิดต่อได้ มนุษย์จึงสงสัยมาตลอดว่ามนุษย์มาจากไหน ในขณะที่สัตว์ไม่คิด
ในการหาคำตอบให้แก่คำถามดังกล่าว มนุษย์ที่มีสติปัญญาด้วยกันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า และอีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อเช่นนั้น
กลุ่มที่เชื่อในพระเจ้าไม่ต้องเหนื่อยในการหาคำตอบ เพราะเชื่อว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาและจะกลับไปหาพระองค์ ส่วนกลุ่มที่ไม่เชื่อพระเจ้าต้องออกแรงและใช้เวลานานในการค้นหาคำตอบ แม้ชาร์ลส์ ดาร์วิน จะอัจฉริยะเพียงใด แต่คำตอบที่ได้จากการค้นหาของเขานั้นเป็นคำตอบที่ดูถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะเขาสรุปว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง
เมื่อมนุษย์บูชาวิทยาศาสตร์เป็นศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์เป็นศาสดา มนุษย์ยุคใหม่จึงหลงเชื่อและนำทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน มาสอนในโรงเรียน ในโลกตะวันตกมีการทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกหลายร้อยฉบับเพื่อสนับสนุนทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน
แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส ดาร์วิน ได้ถูกความจริงทางวิทยาศาสตร์หักล้างจนทฤษฎีของเขาแทบจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปเมื่อหาคำตอบไม่ได้ว่าถ้ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง โครงกระดูกที่เป็นช่วงต่อระหว่างลิงกับมนุษย์อยู่ที่ไหน
ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นผลพวงของลัทธิโลกานิยม (Secularism) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ และต่อมาได้แตกกิ่งก้านสาขาเป็นลัทธิไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า (Atheism) ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ตัดความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าในฐานะผู้สร้างกับมนุษย์ในฐานะสิ่งถูกสร้าง
เนื่องจากศาสนาคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เมื่อความสัมพันธ์นี้ถูกตัดขาด นั่นก็หมายความว่ามนุษย์ไม่มีศาสนาที่มาจากพระเจ้า ดังนั้น เมื่อมนุษย์มีการศึกษาสูงๆถึงขั้นจบเอกมโน จบโทจินตนาการ ลัทธินิกายต่างๆจึงเกิดขึ้นตามมโนของมนุษย์แต่ละคนที่จะจินตนาการกันไป
หากเราศึกษาถึงแก่นธรรมของศาสนา เราจะพบว่าพื้นฐานคำสอนของทุกศาสนาที่ศาสดา (หรือนบี) นำมาสอนนั้นมีพื้นฐานคล้ายๆกัน จนเหมือนกับลานกว้างที่ทำให้ทุกศาสนิกสามารถยืนจับมือกันสร้างความเจริญและความสุขสงบให้แก่โลกได้อย่างสบาย
แต่เมื่อนบีหรือศาสดาจากไป แก่นธรรมของศาสนาได้ถูกนำไปอธิบายหรือตีความเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคลากรทางศาสนาที่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางโลกวัตถุมากกว่าโลกวิญญาณ ความคิดความเชื่อและอุตริกรรมต่างๆที่ไม่เคยมีอยู่ในแก่นธรรมดั้งเดิมของศาสนาจึงเกิดขึ้นมากมายในรูปของลัทธินิกายต่างๆที่ทำให้ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์อ้างว่าเป็นโครงสร้างส่วนบนที่ถูกสร้างขึ้นมาครอบงำมนุษย์ และเหมารวมว่า “ศาสนาคือยาเสพติด”
ทุกศาสนามีคำสอนที่แสดงถึงความยุติธรรมว่าใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว คำสอนนี้มีความเชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ วันพิพากษา วันแห่งการฟื้นคืนชีพหลังความตาย และอื่นๆในทำนองนี้ เป็นสิ่งยืนยันว่ามนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองหลังความตาย
ถ้ามนุษย์เชื่อว่าตัวเองไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ที่เกิดมาเพียงเพื่อกิน นอน ถ่าย สืบพันธุ์ และตายไปเยี่ยงสัตว์ มนุษย์ก็จะใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ แต่เมื่อมนุษย์ทำเลว มนุษย์จะสามารถทำเลวได้มากกว่าสัตว์ และยิ่งถ้ามนุษย์ไม่เชื่อว่าตัวเองจะต้องกลับไปหาพระเจ้าและต้องถูกสอบสวนการกระทำของตัวเองในชีวิตหลังความตาย มนุษย์ก็สามารถทำอะไรได้ทุกอย่างตามใจตัวเองโดยไม่เกรงกลัวใคร หากเป็นเช่นนั้นสังคมก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความหายนะได้
กฎหมายมีไว้เพื่อจัดระเบียบสังคม ดังนั้น กฎหมายจึงมีบทลงโทษคนละเมิดหรือทำผิดกฎหมาย และการลงโทษคนทำผิดกฎหมายถือเป็นความยุติธรรม แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์จำนวนมากไม่ได้รับความยุติธรรมบนโลกนี้ ศาสนาจึงต้องมีวันพิพากษาในโลกหน้าเพื่อที่มนุษย์จะได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง
ชีวิตประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ ถ้ากฎหมายไม่สามารถลงโทษวิญญาณผู้บงการมนุษย์ที่กระทำความผิดในโลกนี้ได้ พระเจ้าจะทำหน้าที่นี้เองในโลกหลังความตาย
You must be logged in to post a comment Login