วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อย่าหลงกลการสร้างสถานการณ์? / โดย Pegasus

On December 5, 2016

คอลัมน์ : เพื่อชาติประชาชน
ผู้เขียน : Pegasus

การพลิกเหตุการณ์ต่างๆในการเมืองไทยมักอาศัยความรุนแรงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังมายุติปัญหา บ้างก็ว่าเพื่อยุติคนไทยตีกัน บ้างก็ว่าเพื่อความสงบปรองดอง แล้วแต่จะว่ากันไป ทั้งที่ทำตามระบบปรกติจะไม่มีเรื่องความรุนแรงตั้งแต่แรกก็เป็นได้ แต่คงจะไม่ทำให้ฝ่ายที่ต้องการพลิกสถานการณ์ได้เปรียบ เพราะ “สิ่งนอกระบบ” ไม่ชอบ

อะไรคือสิ่งนอกระบบ? มาถึงตอนนี้ไม่ต้องบอกก็คงทราบดีอยู่แล้ว การรัฐประหาร 2 ครั้งคือสิ่งนอกระบบ ซึ่งจะหมายถึงอะไรก็ตาม แต่เป็นการใช้กำลังและความรุนแรงด้วยการสร้างเรื่องและยุติเรื่องด้วยการใช้กำลังที่ต้องสร้างเรื่องนอกระบบ เพราะหากปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ก็จะหมดโอกาสที่จะมีอำนาจและรักษาอำนาจที่เคยมีไว้ได้

ลองไล่เรียงการสร้างสถานการณ์ในอดีตหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองและความรุนแรง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการวางแผนตระเตรียมต่างๆทั้งที่กระทำต่อประชาชนหรือกระทำกันเองเพื่อให้เกิดเหตุการณ์ ภาษาชาวบ้านคือภาวะ “เลือดตกยางออก” เพื่อให้มีการยอมรับการใช้วิธีการนอกระบบ ทั้งก่อนการรัฐประหารต่อรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ของคณะราษฎร รัฐประหารจอมพล ป.พิบูลสงคราม จนถึงเหตุความรุนแรงในยุคหลังๆก็ไม่ได้แตกต่างมากนัก

ช่วงเวลานี้ยังมีความพยายามสร้างเรื่องนอกระบบต่างๆอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนมากไม่ได้ผล สุดท้ายคงต้องพยายามใช้กำลังเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างให้จงได้ นั่นคือการพลิกสถานการณ์ที่รอคอยสำหรับอำนาจนอกระบบ

จะเป็นใครและมีเหตุผลอย่างไร ประการสำคัญคือเรื่องของเวลา ใครซื้อเวลาได้นานกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ ไม่มีใครบอกได้ว่าเวลาสุดท้ายที่เป็นตัวขีดเส้นเหตุการณ์ร้ายๆทั้งหลายจะยุติลงเมื่อไร ขณะนี้จึงเป็นการช่วงชิงเวลา ซึ่งสถานการณ์อาจพลิกผันได้หากมีเหตุการณ์อะไรขึ้นก่อน แม้จะทำให้สถานการณ์เป็นไปตามเป้าหมายแล้วก็ตาม

เมื่อทราบความมุ่งหมายดังกล่าวแล้ว เป้าหมายที่จะสร้างความรุนแรงที่ไหนและอย่างไรล้วนเป็นลักษณะเดิมๆ เนื่องจากไม่มีอะไรที่มีเหตุผลเป็นกรณีพิเศษ ไม่ว่าการลงมือต่อพรรคการเมืองและองค์กรอื่นๆทางศาสนา เพราะแค่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อซื้อเวลาเท่านั้นสำหรับช่วงเวลานี้

ความอดทนในการซื้อเวลาและการหาทางหลีกเลี่ยงการปะทะหรือการใช้กำลังต่างๆจากฝ่ายถูกกระทำจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การสร้างสถานการณ์เป็นการตบมือข้างเดียวเพื่อไม่ให้มีเสียง และระยะเวลานานขึ้นก็จะหมดอำนาจไปเอง

ช่วงเวลานี้จึงน่าจะเป็นการตัดสินเรื่องอำนาจที่ไม่มีใครยอมใคร แม้สถานการณ์อาจดูว่าเงียบสงบ แต่ความพยายามที่จะพลิกเหตุการณ์ยังคงมีอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะถึงจุดที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้วเท่านั้น การซื้อเวลาและวิธีการซื้อเวลาเพื่อให้ไปสู่จุดแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งคู่กรณีอาจเป็นใครหรือเรื่องอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความคิดของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเวลา ขณะนี้จึงมีความสับสนและไม่แน่ใจ แม้ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนจะเสียเปรียบอยู่ก็ตาม

เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องตัดสินว่าจุดจบของเรื่องทั้งหมดอยู่ตรงไหน ซึ่งไม่มีใครรู้ แต่เวลายังคงเดินต่อไป ผู้ฉกฉวยโอกาสจากเวลาได้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้ชนะในที่สุด โดยผู้ควบคุมเหตุการณ์เป็นผู้เริ่มเรื่อง ผู้ตั้งรับอาจเสียเปรียบที่ต้องพยายามซื้อเวลา แต่ในทางกลับกัน เมื่อเวลามีจำกัดก็ต้องเร่งรีบลงมือ หลายครั้งที่ผ่านมาจึงล้มเหลว แม้จะมองไม่เห็นชัดเจนก็ตาม แต่เป้าหมายและวิธีการยังเหมือนเดิม

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการหลงกลการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงจึงต้องรู้ว่าเหตุการณ์ร้ายต่างๆนั้น บางทีไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หากแต่เป็นบางกลุ่มสร้างขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อนั่นเอง

เมื่อเวลามาถึงก็จะตัดสินการแพ้ชนะของคู่ต่อสู้ แม้ชัยชนะของประชาชนยังมาไม่ถึง แต่การรักษาตัวให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของฝ่ายอธรรมนั้นก็ถือเป็นชัยชนะเล็กๆที่เป็นรางวัลหลังจากถูกรังแกมายาวนาน และถ้าโชคดีก็อาจได้ยิ้มน้อยๆก็เป็นได้


You must be logged in to post a comment Login