วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วังเวงประเทศไทย! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On December 8, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของไทยชี้ชัดเจนว่าประเทศกำลังย่ำแย่อย่างหนัก เหลือเชื่อจริงๆว่าขณะนี้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยนั้นห่างกันเพิ่มขึ้นเป็น 22 เท่าเข้าไปแล้ว แต่กูรูทางเศรษฐกิจทั้งหลายคงไม่แปลกใจสักเท่าไร เพราะหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงหลังจากรัฐบาลทหารเข้ามาบริหารประเทศ ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจทั้งหลายล้วนแต่ตกต่ำลงทั้งสิ้น

ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโต 0% ในขณะที่การส่งออกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาลดลง 4.2% เปรียบเทียบกันแบบปีต่อปี และถ้าเราดูตัวเลขการส่งออกในรอบ 10 เดือนของปี 2559 นี้ก็จะพบว่ามีตัวเลขที่ลดลงมากกว่า 1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยมีทิศทางอย่างไร

เท่านั้นยังไม่พอ จากการเปิดเผยของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติพบว่า รายงานการใช้จ่ายส่วนบุคคลตกลงไป 5.5% ในเดือนตุลาคม และขณะนี้การใช้จ่ายของคนไทยอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วจากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ซึ่งในช่วงน้ำท่วมตอนนั้นอธิบายได้ไม่ยาก เพราะภัยธรรมชาติเป็นอุปสรรคในการจับจ่ายใช้สอย แต่ขณะที่สภาพแวดล้อมทุกอย่างในประเทศไทยเป็นปรกติอยู่ขณะนี้ การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนกลับลดลงต่ำที่สุด มีคำอธิบายได้อย่างเดียวคือ คนไทยมีรายได้ลดลง หรือไม่ค่อยมีเงินในกระเป๋านั่นเอง

นอกจากไม่มีเงินแล้ว เรายังพบว่าหนี้ของผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นจาก 3,780 ล้านบาท มาเป็น 3,810 ล้านบาทในช่วงเดือนที่ผ่านมา และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอีกครั้ง แม้แต่ยอดการค้าปลีกที่เคยเพิ่มขึ้น 4.3% ในปีที่แล้ว แต่ในปีนี้เพิ่มขึ้นเพียง 3.2% ทั้งๆที่ราคาน้ำมันลดลง ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 0.6% ทั้งที่นักวิชาการที่ชอบตีปี๊บทั้งหลายทำนายว่าจะต้องเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 0.75% อย่างแน่นอน

การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำถูกพิสูจน์มาแล้วว่าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการลดค่าเงินบาทที่เคยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจในเอเชียถดถอยมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2540 แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพต่างหากที่น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องและทำได้ไม่ยาก หากรัฐบาลทหารมีความเข้าใจและมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง

เราคงต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนาดตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอาการหนักจะโคม่าอยู่แล้ว แต่เรายังไม่เห็นมาตรการที่จะมาแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เป็นที่ทราบกันดีว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจมีลักษณะเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อการส่งออกลดลงก็แปลว่าการผลิตต้องลดลง คนงานที่ถูกเลิกจ้างต้องกลายเป็นคนว่างงาน เมื่อว่างงานก็ทำให้ไม่มีรายได้และต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เมื่อมีหนี้สินแต่ไม่สามารถชำระคืนเจ้าหนี้ได้ก็ส่งผลให้สถานการณ์อื่นๆย่ำแย่ตามกันไปด้วย สภาพข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้นี่แหละครับที่ต้องเรียนท่านผู้อ่านว่าน่ากลัวสุดๆ

ผมเคยบ่นไว้ในคอลัมน์นี้บ่อยๆว่า ปัญหาเศรษฐกิจคือปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทย และจะส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด หลังจากการรัฐประหารที่ผ่านมา ผมขอเรียนโดยปราศจากอคติว่า ผมยังไม่เห็นมาตรการในการขับเคลื่อนและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจังเลย ที่ดูดีกว่าเพื่อนในช่วงแรกๆก็คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ภายหลังจากนโยบายการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญก็ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบกับรายได้จากการท่องเที่ยวที่เคยรุ่งโรจน์อยู่ไม่น้อยทีเดียว

าเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยก็คือ การขาดความเชื่อมั่นจากประเทศคู่ค้าและนักลงทุนต่างชาติ แม้แต่นักลงทุนไทยเองยังขนเงินออกไปลงทุนที่ต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีเสถียรภาพทางด้านการเมือง เมื่อไม่มีการค้าการลงทุนในประเทศ ผู้ที่รับเคราะห์ก็คือคนไทยนั่นเอง วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย เป็นเกษตรกร เป็นผู้ใช้แรงงาน เป็นลูกจ้าง ไม่ใช่นายห้างเจ้าของกิจการ แต่เป็นคนธรรมดาที่หาเช้ากินค่ำ เมื่อระบบเศรษฐกิจชะลอตัวและหยุดชะงัก คนชั้นกลางลงล่างก็ต้อง “สลบ” เป็นของธรรมดา

ที่ผมบ่นให้ฟังวันนี้ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่รู้สึกและสัมผัสได้เช่นเดียวกับผม ผมยืนยันว่าไม่ต้องการจะเขียนโจมตีใครทั้งสิ้น แต่ในฐานะอดีตผู้แทนราษฎรที่ยังลงพื้นที่สัมผัสกับปัญหาของพี่น้องประชาชน ขอเรียนตามตรงว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้มีรายได้น้อยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหลากหลายมิติ อย่างที่เรียนไว้ตอนต้น ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นแบบเป็นลูกโซ่และเชื่อมต่อกันเป็นงูกินหาง หากยังไม่ดำเนินการแก้ไขให้ถูกวิธี ปัญหาต่างๆจะลุกลามบานปลายจนในที่สุดอาจทำให้ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบล้มลงในเวลาอันสั้นก็เป็นไปได้

นอกจากนั้นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ยังไม่ได้พูดถึงก็คือ รายได้ของประเทศที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลง ย่อมทำให้การเก็บภาษีประเภทต่างๆมีจำนวนลดลงตามไปด้วย เมื่อการเก็บรายได้ต่างๆไม่เข้าเป้า การดำเนินโครงการต่างๆของภาครัฐย่อมต้องสะดุดลงไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อภาครัฐถังแตกก็เหลือหนทางเดียวที่จะลงทุนต่อไปได้ก็คือการไปกู้หนี้ยืมสิน แต่การกู้หนี้ยืมสินในสภาวะที่ประเทศมีรายได้ลดลงย่อมทำให้เครดิตและความสามารถในการต่อรองและการเจรจาต่างๆลดลงตามไปด้วย

สภาพการตกเป็นเบี้ยล่างทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้เป็นสภาพที่ต้องบอกว่าเหลือเชื่อ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ประเทศไทยถือเป็นสวรรค์ของนักลงทุน เงินหลายสกุลหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยในรูปแบบการค้าการลงทุนหลากหลายรูปแบบ เมื่อเศรษฐกิจดี ประชาชนท้องอิ่ม การจับจ่ายใช้สอยมีสภาพคล่อง รัฐบาลก็มีรายได้สูง และสามารถนำรายได้จากภาษีอากรของประชาชนกลับมาสร้างโอกาสและความสุขให้กับทุกคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความเจริญด้านต่างๆได้ในทุกมิติ ตั้งแต่โครงการที่สนับสนุนช่วยเหลือประชาชนได้โดยตรงไปจนถึงการทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆให้กับประเทศ แต่ปัจจุบันนี้ภาพเหล่านี้ไม่มีเหลือให้เห็นอีกแล้ว

ก่อนจบผมขอทิ้งท้ายสั้นๆว่า ตราบใดที่เรายังไม่มีรัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับจากนานาอารยประเทศ ปัญหาด้านเศรษฐกิจคงยากที่จะแก้ไข แม้ในอนาคตจะมีการเลือกตั้งตามที่ท่านผู้นำสูงสุดได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ก็ตาม แต่ถ้ารัฐธรรมนูญใหม่ยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมือง และฝ่ายบริหารยังถูกอิทธิพลครอบงำจากอำนาจพิเศษต่างๆ ถึงตอนนั้นอนาคตลูกหลานของเราก็คงต้องใช้คำว่า “วังเวง” ครับ


You must be logged in to post a comment Login