- ปีดับคนดังPosted 17 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ซอมบี้แห่งเฮติ / โดย ศิลป์ อิศเรศ
คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
เป็นเวลานานเกือบ 100 ปีแล้วที่ชาวตะวันตกพยายามค้นหาคำตอบว่าการที่ศพลุกขึ้นมาเดินได้อีกครั้ง หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ซอมบี้” นั้น เป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่าเอามันเท่านั้น
ผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวสยองขวัญจากฮอลลีวู้ดคงคุ้นเคยกับเรื่องราวของศพเดินได้ที่เรียกว่า “ซอมบี้” ออกอาละวาดไล่ฆ่ามนุษย์อย่างเมามัน ซึ่งมีให้ชมกันแทบจะนับไม่ถ้วนเรื่อง ในความเป็นจริงแล้วต้นกำเนิดของซอมบี้ไม่ได้มาจากอเมริกา แต่มาจากเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งในทะเลแคริบเบียน
ฮิสปันโยลา เป็นเกาะใหญ่อันดับ 2 ในทะเลแคริบเบียนรองจากเกาะคิวบา ติดอันดับที่ 22 ของโลก และอันดับที่ 10 ของเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก ปัจจุบันถูกแยกออกเป็นของ 2 ประเทศคือ เฮติและสาธารณรัฐโดมินิกัน ซึ่งเรื่องราวของซอมบี้ในสายตาชาวโลกเริ่มต้นขึ้นบนเกาะแห่งนี้
เรื่องสยองจากแดนไกล
ชาวตะวันตกรู้จักซอมบี้เมื่อครั้งที่อเมริกาเข้าไปครอบครองประเทศเฮติในช่วงปี 1915-1934 หลังจากที่ทหารอเมริกันกลับบ้านเกิด พวกเขาได้นำเรื่องเล่าพิสดารพันลึกเกี่ยวกับศพเดินได้ที่ได้พบเห็นในเฮติกลับมาเล่าให้ลูกหลานฟัง
ในตอนแรกไม่มีใครใส่ใจเท่าไรนัก เพราะคิดว่าเป็นแค่เรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ฟัง แต่อย่างน้อยก็ส่งผลให้มีนักเขียนนำไปใช้เป็นพล็อตสร้างนิยายสยองขวัญ
จะว่าไม่มีใครเลยสักคนที่จริงจังก็ไม่เชิงนัก เพราะมีอย่างน้อย 1 คนที่เกิดความสงสัย ต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องเล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ เธอผู้นั้นคือนักค้นหาคว้าเรื่องเล่าในตำนาน โซรา เนล เฮอร์สตัน
โซราเดินทางมายังเฮติในปี 1937 เธอตระเวนค้นหาข้อมูลทั่วเกาะเฮติจนกระทั่งไปเจอเข้ากับเรื่องราวของหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านลือกันว่าเธอคือซอมบี้ตัวเป็นๆ
เผชิญหน้าซอมบี้
เฟลิเซีย ฟีลิกซ์-เมนเตอร์ เสียชีวิตในปี 1907 แต่แล้วจู่ๆอีก 20 ปีให้หลังในปี 1927 ก็มีคนพบเห็นเฟลิเซียเดินอยู่ตามท้องถนนในลักษณะเหมือนไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีการตอบสนองกับผู้คนรอบข้าง อาการแบบเดียวกับที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพวกซอมบี้
อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์หลักที่โซราเดินทางมายังเฮตินั้นเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวข้องกับการใช้สมุนไพรหรือยาที่มีผลต่อระบบประสาท ดังนั้น เธอจึงไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องไสยศาสตร์
โซราเชื่อว่าเฟลิเซียถูกวางยาชนิดใดชนิดหนึ่งที่ส่งผลทำให้เธอหมดสติและมีอาการเหมือนคนเสียชีวิต ไม่เกี่ยวกับไสยศาสตร์มนต์ดำตามคำร่ำลือของชาวบ้านแต่อย่างใด
โรงงานสร้างทาส
ประชากรชาวเฮติราว 90% เชื่อว่าซอมบี้คือบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ถูกพ่อมดหมอผีใช้เวทมนตร์ไสยศาสตร์ที่เรียกว่า “วูดู” ปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกหมอผีประเภทนี้ว่า “โบกอร์”
ศพที่จะใช้ทำซอมบี้ต้องเป็นศพที่เสียชีวิตตามธรรมชาติเท่านั้น ศพที่เสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรมจะไม่สามารถนำมาทำเป็นซอมบี้ได้เพราะควบคุมได้ยาก
ซอมบี้จะถูกนำไปใช้เป็นแรงงานทาสในการทำไร่ ทำสวน หรือถูกนำไปขายเป็นแรงงานทาสให้กับผู้อื่น หรือถูกนำไปใช้งานประเภทอื่นๆที่มีความเสี่ยงสูงตามแต่ที่ “เจ้านาย” จะสั่งให้ทำ
ซอมบี้ของเฮติไม่ได้กระหายเลือดออกล่าฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อกินเป็นอาหารเหมือนในหนังฮอลลีวู้ด พวกมันมีหน้าที่ทำงานตามที่เจ้านายสั่ง และจะพ้นจากคำสาปก็ต่อเมื่อเจ้านายปลดปล่อยหรือเจ้านายเสียชีวิต
ฟื้นมาจากหลุม
ปี 1982 ดร.นาธาน ไคลน์ ได้ยินข่าวว่ามีคนพบซอมบี้ตัวเป็นๆในเฮติ เขาจึงปรึกษากับเวด เดวิส นักมานุษยวิทยาที่สนใจเรื่องความเชื่อของชนพื้นเมืองเป็นพิเศษ เวดตอบตกลงที่จะเดินทางไปหาข้อมูลในเฮติ
แคลร์วิอุส นาร์ซิสส์ เสียชีวิตในปี 1962 เขาถูกหมอผีนำร่างไปทำซอมบี้ และถูกส่งตัวไปใช้แรงงานทาสในไร่แห่งหนึ่ง ก่อนที่หมอผีจะปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระในอีกหลายปีต่อมา
หลังจากได้รับการปล่อยตัว แคลร์วิอุสก็เร่ร่อนไปตามสถานที่ต่างๆเป็นเวลา 16 ปี เพราะเขาจดจำอะไรไม่ได้เลย แต่แล้ววันหนึ่งความทรงจำเก่าๆก็ค่อยๆกลับคืนมา เขาจึงเดินทางมายังหมู่บ้านที่เคยอาศัยอยู่
แคลร์วิอุสพบน้องสาวในตลาด แต่เขาเปลี่ยนไปมากทำให้น้องสาวจำไม่ได้ แคลร์วิอุสจึงเล่าเรื่องสมัยเด็กๆที่มีเพียงแค่ตัวเขากับน้องสาวเท่านั้นที่รู้ ทำให้น้องสาวยอมเชื่อว่าเขาคือพี่ชายตัวจริง
ค้นหาตำรับยา
เวดมีความเชื่อตามแบบนักวิทยาศาสตร์ว่าเรื่องราวทั้งหมดต้องมีสารชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีผลต่อระบบประสาทเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาทำการสืบค้นจนพบว่าพิธีกรรมที่โบกอร์หรือหมอผีทำการชุบร่างซอมบี้นั้นมีการใช้ผงสมุนไพรบางอย่างผสมกับชิ้นส่วนสัตว์บางชนิด
เวดมั่นใจว่าผงดังกล่าวคือหัวใจของการทำซอมบี้ มันน่าจะประกอบไปด้วยสารที่มีผลกับระบบประสาทรุนแรงคล้ายกับพิษของปลาปักเป้า ทำให้เกิดอาการอัมพาตไม่สามารถขยับตัวได้ อุณหภูมิร่างกายต่ำ และการเต้นของหัวใจช้าลงจนเหมือนหยุดนิ่ง ซึ่งทำให้ดูเหมือนเสียชีวิตในสายตาของคนทั่วไป หลังจากร่างถูกนำไปฝัง หมอผีจะรีบไปขุดขึ้นมาแล้วนำไปใช้เป็นแรงงานทาส
เวดได้ตัวอย่างผงทำซอมบี้มา 8 ตัวอย่างจากหมอผีหลายคน เขาทำการวิเคราะห์แล้วพบว่าประกอบไปด้วยสารพัดสิ่งที่คาดไม่ถึง เช่น คางคกตากแห้ง กะโหลกมนุษย์ จิ้งจก และแมงมุม ฯลฯ แน่นอนว่ามีส่วนประกอบของสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทบางชนิดตามที่คาดการณ์
หมอผีต้องใช้สารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทอย่างระมัดระวัง เพราะหากใช้มากจนเกินไปจะทำให้เหยื่อเสียชีวิตจริงๆได้ ซึ่งนั่นคือปริศนาว่าหมอผีรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องใช้ปริมาณมากแค่ไหนจึงจะพอดีกับการทำให้เหยื่อแค่ดูเหมือนคนตายแต่ยังไม่ตาย
เวดก็เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์อีกหลายๆคน เขาใช้ตัวเองเป็นหนูทดลองยา เวดลองเสพผงทำซอมบี้ด้วยตัวเอง แต่มันไม่เกิดผลใดๆ ซึ่งเชื่อว่าเขาเสพจำนวนน้อยเกินไปหรือไม่ก็ทำผิดวิธี การศึกษาความลับของผงซอมบี้ยังคงทำกันอย่างต่อเนื่อง แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ
You must be logged in to post a comment Login