วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ชีวิตภายใต้รัฐประหาร! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On January 5, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

สวัสดีปีใหม่ครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ปีลิงผ่านไปปีไก่เข้ามาแทนที่ ผมขอกราบอวยพรให้แฟน “โลกวันนี้วันสุข” ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ คิดถึงสิ่งใดที่ดีงามก็ขอให้สมความปรารถนาในทุกประการ ผมหวังว่าปีนี้คงจะมีอะไรที่ดีขึ้นบ้างหลังจากที่เราต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆมาโดยตลอด อย่างน้อยถ้าท่านผู้นำสูงสุดไม่โกหก หากได้เลือกตั้งกันจริงๆประเทศไทยคงน่าอยู่มากกว่านี้อย่างแน่นอน

อดทนกันต่ออีกนิด พยายามรักษาลมหายใจเอาไว้ ปีหน้าฟ้าใหม่แล้วสิ่งที่รออยู่น่าจะดีกว่าที่แล้วมา ช่วงหยุดยาวปีใหม่ผมมีโอกาสพบเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคน ถ้าเป็นข้าราชการก็ไม่ค่อยมีอะไรมาบ่นให้ฟัง แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจก็คุยกันยาวทีเดียวเรื่องเศรษฐกิจไม่ดี ใครๆก็รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ปี 2557 เพราะพอกองทัพขนทหารออกมาปฏิวัติ การทำธุรกิจทั้งหลายก็ฝืดเคืองไปตามๆกัน นักธุรกิจน้อยใหญ่ต่างรู้ดีว่า 2-3 ปีนี้ สถานการณ์ที่เจอมันเลวร้ายแค่ไหน

ผมคงได้แต่ให้กำลังใจ นักการเมืองอย่างพวกผมกลายเป็นพลเมืองชั้น 2 ทั้งถูกจำกัดบทบาท ถูกดิสเครดิต แม้แต่นักวิชาการและนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลายท่านยังเห็นว่านักการเมืองอ่อนแอและขี้ขลาด!

เรื่องนี้ผมไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่อยากสะท้อนข้อเท็จจริงที่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า นักการเมืองจะอยู่พรรคไหนก็แล้วแต่ก็มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง สำหรับนักการเมืองที่ต่อสู้และอยู่ข้างฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด ผมเชื่อว่าเรื่องให้ยอมแพ้และหวาดกลัวอำนาจเผด็จการคงไม่มีแน่นอน แต่นักการเมืองที่หามเสลี่ยงให้เผด็จการนั่งผมขออนุญาตไม่นับรวม เพราะพวกนี้คือเครื่องมือสำคัญของทหารและเคลื่อนไหวสนับสนุนให้มีการรัฐประหาร เห็นหน้าตากันชัดๆอยู่แล้วว่าใครได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการยึดอำนาจทุกครั้ง เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยได้ชัยชนะจากการเลือกตั้งสักครั้งเดียว จึงเลือกจะขายวิญญาณให้กับปิศาจ และทำตัวเป็นกบเลือกนกกระสามาเป็นนาย แม้รู้ว่าเพื่อนร่วมชาติส่วนใหญ่จะต้องกลายเป็นเหยื่อของเผด็จการก็ตาม

เพื่อนร่วมชาติประเภทแรกที่ถูกกำจัดหรือพลเมืองกบที่ถูกนกกระสากินก่อนคือ นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยนั่นเอง ถ้าทุกท่านย้อนเวลาดูจาก Timeline จะเห็นว่าหลังรัฐประหารทุกครั้งนักการเมืองฝ่ายที่สนับสนุนทหารจะได้รับการปูนบำเหน็จอย่างถ้วนหน้า แต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งหลายคนจำเป็นต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ หลายคนมีคดีความและบางคนต้องติดคุก แม้การพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุดก็ตาม

ดังนั้น นักวิชาการและนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยขออย่าหลงผิดตกเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อของทหารและออกมากล่าวหาว่าพวกผมอ่อนแอและขี้ขลาดเลย เวลาที่เผด็จการเรืองอำนาจและสามารถใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์อย่างเสรีเช่นนี้ ผู้มีอำนาจสามารถใช้อำนาจในมิติต่างๆได้อย่างเต็มรูปแบบ

การบิดเบือนและการกล่าวหาใส่ร้ายกันทำได้ง่ายและมีน้ำหนัก ดังการเคลื่อนไหวของนักการเมืองที่ผ่านมาต่างถูกกระบวนการปรุงแต่งเพื่อทำให้เชื่อว่านักการเมืองมีแต่ทะเลาะเบาะแว้งและสร้างความวุ่นวายจนประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองสุดๆ ซึ่งเข้าทางฝ่ายเผด็จการแบบเนียนๆ ไม่ต้องออกแรงอะไรเพิ่มเติม

ขนาดการตรวจสอบการทุจริตที่มีหลักฐานชัดเจนจากหลายฝ่ายที่ร่วมตรวจสอบยังถูกชี้นำว่าเป็นความพยายามกลั่นแกล้งทางการเมือง ถ้าเป็นสมัยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หากมีหลักฐานชัดๆแบบนี้รับรองว่า “ขาดสองท่อน” แต่ในรัฐบาลที่ไม่มีกลไกการตรวจสอบ หลักฐานต่างๆไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างที่ควรจะเป็น

แม้นักกฎหมายหลายท่านจะยืนยันตรงกันว่าสิ่งที่ตรวจพบมีน้ำหนักและควรดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อหาผู้กระทำความผิด แต่การเรียกร้องด้านจริยธรรมกับผู้รับผิดชอบก็เงียบหายไปกับสายลม สวนทางกับการประโคมข่าวการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่มีอะไรใหม่นอกจากเหล้าเก่าในขวดเก่าที่ใช้เป็นเหตุผลในการยึดอำนาจ

ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆแบบนี้จะได้เข้าใจพวกผมมากขึ้นว่าไม่เคยขี้ขลาด แต่ถูกมองว่าเป็นคู่ขัดแย้งจะออกมาเคลื่อนไหวหรือแสดงออกทางการเมืองก็มีความอ่อนไหวไม่น้อย เมื่อเวทีของนักการเมืองยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ ปฏิบัติการด้านจิตวิทยาของฝ่ายเผด็จการก็ยังทรงประสิทธิภาพ และนักการเมืองยังต้องเป็นจำเลยของสังคม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำงานการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

ผมนำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟังเพื่อเตือนสติและเป็นข้อเตือนใจผู้ที่รักและเรียกร้องประชาธิปไตยทุกท่านว่า พวกเราทุกคนคือผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน ไม่ว่าท่านจะชอบพรรคการเมืองไหนก็ตาม ถ้าไม่เห็นด้วยกับการปกครองที่ไม่มีโอกาสได้เลือก ไม่มีโอกาสตรวจสอบ ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น เพราะถูกยึดอำนาจอธิปไตยไป ก็ขอให้เข้าใจตรงกันว่าเราคือพวกเดียวกัน

ก่อนจบผมขออนุญาตนำข้อความที่อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล บ่นถึงความผิดหวังในปี 2559 ผ่านเฟซบุ๊คมาถ่ายทอดสักนิด เพราะสะท้อนความเป็นจริงให้พวกเราได้เห็นอะไรอยู่ไม่น้อย โดยบอกว่าท่านผิดหวังคณะรัฐประหารรัฐบาลทหารระบอบ คสช. และรัฐไทยทั้งหมด จะเรียกว่าผิดหวังก็อาจไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไรนัก เพราะจริงๆไม่มีหวังตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “หากจะผิดหวังก็คงมีเพียงว่าผิดหวังที่พวกเขา “คิดสั้น” เอาแค่นี้จริงๆ ไม่สนใจว่าอนาคตประเทศนี้จะเป็นอย่างไร ก็กูจะเอาแบบนี้ก็คือแบบนี้”

ความผิดหวังอีกเรื่องคือ คนมีความรู้มีการศึกษาจำนวนมากที่ไปให้ความหวังและให้โอกาสกับระบอบรัฐประหาร ผิดหวังกับคนไทยจำนวนมากที่ไปออกเสียงลงคะแนนประชามติ “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ และผิดหวังกับคนไทยจำนวนมากที่ “ยอมทน” กับระบอบรัฐประหารแบบนี้ได้เป็นเวลาถึง 2 ปีกว่า โดยได้แต่ “บ่น” และ “โชว์ความฉลาด” อยู่ในวงข้าววงเหล้าและโซเชียลมีเดียแล้วก็ “ฟิน” ไปวันๆ

ท่านผิดหวังกับนักการเมืองไทยจำนวนมากที่สู้น้อยเกินไป และ “ยอมทน” กับระบอบรัฐประหารเพื่อ “รอ” กลับไปสู่ “การเลือกตั้ง” (ซึ่งเรื่องนี้ผมขอน้อมรับฟังด้วยความเต็มใจครับ)

แต่กระนั้นในความมืดมนก็ยังมีประกาย “ผมก็มีเรื่องดีใจยินดีอยู่บ้าง” อาจารย์ปิยบุตรแถมท้าย (และผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลย) ขอยกข้อความมาดังนี้

“ผมดีใจและชื่นชมที่นักศึกษา นักกิจกรรม ทนายความ ยังคงยืนหยัดต่อสู้กับระบอบรัฐประหารอย่างหนักแน่นมั่นคงและไม่ท้อถอย”

“มันช่วยให้คำว่า “สิ้นหวัง” ยังเป็นเพียงทางเลือกสำหรับความโง่เขลา ขณะที่ความ “ผิดหวัง” กลับเป็นพลังผลักดันให้ “สู้” กันต่อไป”


You must be logged in to post a comment Login