- ปีดับคนดังPosted 22 mins ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 2 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 7 days ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
KTBST ชี้ดัชนีฯผันผวนในกรอบ 1,566 – 1,590 จุด
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST (Win Udomrachtavanich, Ph.D. Executive Chairman KTB Securities (Thailand ) Co., Ltd.)ประเมินคาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (16-20 ม.ค.) ว่า ตลาดยังแกว่งในกรอบ sideway เนื่องจาก รับรู้ข่าวบวกมามากแล้วเงินลงทุนไหลเข้าตลาดที่ชะลอ หลังราคาน้ำมันดิบเริ่มอ่อนตัวลง และรอดูท่าทีของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อนโยบายการค้าต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญต่อตลาดในสัปดาห์นี้ และจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้ในบางวัน คาดว่าจะมีแรงขายทำกำไรเข้ามาในตลาดมากขึ้น จากหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก แต่หากความกังวลในเรื่องของนโยบายของสหรัฐฯลดลงหรือพลิกมาเป็นบวกเชื่อว่านักลงทุนก็พร้อมที่จะกลับเข้ามาซื้อหุ้นกันต่อ
โดยปัจจัยที่สำคัญที่จะมีผลต่อตลาดได้แก่ 1.) การแถลงข่าวครั้งแรกของนาย Trump เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณว่า จะมีการนำเอานโยบายต่างประเทศ ที่สำคัญๆ มาใช้ คือ การตอบโต้ประเทศที่เอาเปรียบการค้ากับสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าไปที่จีนเป็นลำดับต้นๆ และการดึงเอาโรงงานอุตสาหกรรมที่ขายสินค้าให้สหรัฐฯ เข้าไปตั้งโรงงานในประเทศสหรัฐฯ ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ชัดเจนนัก ด้านค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง ค่า Dollar Index ปรับตัวลงเกือบ 1% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯและความมั่นใจของนักลงทุนต่อนโยบายของนาย Trump ที่ลดลง สอดคล้องกับภาวะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอลง หากดอลล่าร์ยังคงอ่อนค่าอยู่อีกจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในสภาะที่ทรงตัวตามไปด้วย
ขณะเดียวกันสัปดาห์นี้ นาง Janet Yellenประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นพูดในวันที่ 18 และ 19 ตลาดน่าจะให้ความสนใจ 2 เรื่อง คือ ท่าทีของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed (เดิมกล่าวว่าจะปรับขึ้น 3 ครั้งในปีนี้) และผลของการใช้นโยบายเศรษฐกิจของนาน Trump จะมีผลต่อเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย สหรัฐฯอย่างไร ซึ่ง นาง Yellenได้เคยแสดงความเห็นไว้บ้างแล้ว ซึ่งพิจารณาจาก ระดับของ Bond Yield ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ บ่งชี้ 2 เรื่อง คือ ความกังวลต่อการปรับขึ้นน้อยลงและเริ่มมีเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ
2) ราคาน้ำมัน &สินค้าโภคภัณฑ์ราคาน้ำมันดิบ ยังคงได้อานิสงค์จากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันที่จะมีการประชุม ของ Monitoring Committee ในวันที่ 21-22 ม.ค.นี้ โดยมีตัวแทนของประเทศที่เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย Kuwait, Algeria, Venezuela, Russia และ Oman ทั้งนี้ ผู้ผลิตน้ำมันและนักวิเคราะห์ ต่างเห็นไปในทางบวกว่า การลดกำลังการผลิตน้ำมันนั้น จะบรรลุตามที่ตกลงกันไว้และเป็นบวกต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ามันดิบ (WTI) วิ่งอยู่ในกรอบ $50-55 เหรียญ ในระยะนี้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่านักลงทุน จะยังมีความพะวงอยู่ว่าการลดกำลังการผลิตน้ำมันของ OPEC และผู้เข้าร่วมรายอื่น หากทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงเกิน $55 เหรียญ จะทำให้ผู้ผลิตน้ำมันที่เป็น Shale Oil เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมาอีก โอกาสที่น้ำมันดิบ (WTI) จะปรับตัวขึ้นไปเหนือ $55 เหรียญ ในช่วงนี้ จึงเป็นไปได้ยาก แม้การประชุม 21-22 ม.ค.นี้ ผลจะออกมาดีก็ตาม
ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มโลหะและสินค้าเกษตร คาดจะเป็นกลุ่มที่ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดย ความต้องการใช้โลหะที่เป็นวัตถุดิบที่ยังคงสูงจากประเทศจีน ซึ่งมีการควบคุมการใช้กำลังการผลิต และการคาดหวังว่านโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเพิ่มความต้องการใช้สินค้าที่เป็นวัตถุดิบของภาคอุตสาหกรรม จึงทำให้ราคาสินค้าในกลุ่มโลหะ โดยเฉพาะเหล็ก มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นขณะที่ราคาสินค้าในกลุ่มเกษตรที่เห็นการปรับตัวสูงขึ้น นอกจากความต้องการใช้สินค้าที่สูงขึ้นมาจากปัญหาด้าน supply อย่างเช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมันที่เป็นบวกจากน้าท่วมภาคใต้ของไทย โดยรวมๆ แนวโน้มราคาสินค้าในกลุ่มนี้ ยังน่าจะยืนตัวในระดับที่สูงอยู่ต่อไปแต่ถึงกระนั้น ราคาหุ้นที่มีรายได้อิงกับราคาโลหะและสินค้าเกษตร ส่วนใหญ่ราคาจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ทาให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะเดินหน้าต่อ จึงน่าจะมีกรอบจากัด การเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ จึงต้องดูราคาผลิตภัณฑ์อ้างอิง ประกอบไปด้วย
3) การเก็งงบ 4Q และเงินปันผล งวดครึ่งปีหลัง เราประเมินกำไรไตรมาสที่ 4/59 ไว้ที่ 1.6 – 1.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 9-13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้กำไรของบริษัทในตลาดดีขึ้น มาจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง มูลค่าส่งออกของไทยที่สูงขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เข้ามาในช่วง 1-2 เดือนสุดท้าย ทั้งนี้ หุ้นที่คาดว่า ผลประกอบการ 4Q จะออกมาดี จะเป็นธุรกิจ กลุ่มน้ามัน (ผู้ผลิต+โรงกลั่นน้ามัน) ธุรกิจส่งออก (อีเล็คทรอนิกส์-ชิ้นส่วนรถยนต์-อาหารแช่แข็ง-เกษตรแปรรูป ฯลฯ) และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
4) Fund Flow คาดแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศจะยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยบวกในประเทศเอง คือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะผลักดันหุ้นที่อิงภาวะเศรษฐกิจ นั้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ คาดว่านักลงทุนต่างประเทศน่าจะยังซื้อต่อ เพียงแต่ปริมาณจะลดลงเพราะ รอดูนโยบายของสหรัฐฯและราคาหุ้นที่เป็นเป้าหมายของกองทุนฯปรับตัวขึ้นมามาก
อีกทั้ง จะถูกกดดันจากแรงขายของกองทุนในประเทศ ทั้งการขายทำกำไรและการถึงกำหนดขายของผู้ถือหน่วยลงทุน LTF-RMF
5.ปัญหา B/E กระทบความมั่นใจในหุ้นเล็ก ที่ฐานะการเงินไม่แข็งแรง จากช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มี 4 บริษัทในตลาดหุ้น ที่ไม่สามารถคืนหนี้ได้ตามกำหนด ทั้งจากตั๋ว B/E และเงินกู้ที่ครบกำหนดชำระ ประกอบด้วย KC , EFORL , IFEC และ RICH แม้ EFORL นั้น จะเป็นปัญหาด้านเทคนิค ที่ได้นำเงินมาคืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่การที่มีหลายบริษัทมีปัญหาลักษณะนี้ ในช่วงเวลาใกล้กัน อาจกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน ที่มีต่อบริษัที่มีฐานะทางการเงินที่ไม่แข็งแรง หรือมีการระดมทุนด้วย B/E หรือแม้กระทั่งเงินกู้สถาบันการเงินผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ เผยมีตั๋ว B/E ที่มีความเสี่ยงในลักษณะนี้ คิดเป็นวงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือ ประมาณ 10% ของการระดมทุนด้วยวิธีนี้ผลกระทบจากการผิดนักชำระหนี้ คาดจะมีผลต่อหุ้นเป็นรายตัว และอาจเพิ่มความกังวลต่อหุ้นธนาคาร ในเรื่องของ NPLs หากยังคงมีบริษัทที่มีปัญหานี้อยู่อีกในอนาคต
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ แนะนำให้นักลงทุนพิจารณาขายทำกำไรหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่เคยเป็น Laggard อาทิ ธนาคารและหุ้นที่อยู่อาศัย และไปรอดูสัญญาณซื้อรอบใหม่ตามตลาดต่างประเทศ หรือหากตลาดมีการพักตัว ดูว่าดัชนีที่ระดับ 1,566 จุดจะมีแรงซื้อกลับหรือไม่ หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ น่าจะยังคึกคักต่อ แต่เราให้ความสนใจกับกลุ่มกลางจนถึงปลายน้ำมากกว่า (ปิโตรเคมี , โรงกลั่นน้ามัน , ผู้นำสินค้ามาแปรรูป ) แต่ควรเป็นการเก็งกำไรช่วงสั้นๆ แต่ควรติดตามราคาอ้างอิงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย ส่วนหุ้นกลุ่มที่เป็น Domestic Play น่าจะถูกกลับเข้ามาเล่นอีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการและการลงทุนภาครัฐ และหุ้นที่มีผลประกอบการดี ขณะที่หุ้นในกลุ่มส่งออก อีเล็คทรอนิคส์ และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็น กลุ่มที่จะได้รับผลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯโดยตรง การลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ จึงควรรอดูนโยบายการค้า หรือสถานการณ์ภายนอกประกอบไปด้วย บล.KTBST คาดการณ์ดัชนีฯสัปดาห์นี้จะผันผวนในกรอบ 1,566 – 1,590 จุดหุ้นที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน TOP , SPRC , IVL , PTL FSMART , BJC , STEC ADVANC , MSC
You must be logged in to post a comment Login