วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สุนทรพจน์โอบามา อำลาตำแหน่ง #2 ประชาธิปไตยคือทำให้ชาติมีความหลากหลาย

On January 16, 2017

เว็บไซต์ประชาไทได้ถอดความสุนทรพจน์ของบารัก โอบามา ที่กล่าวถึงความสำคัญของประชาธิปไตย เสรีภาพ การอภิปรายถกเถียงกันในสังคม และความเท่าเทียมกันของโอกาสทางเศรษฐกิจ ในช่วงหลัง บารัก โอบามา กล่าวถึงปัจจัยที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อประชาธิปไตยนั่นคือ การแบ่งแยกและกีดกันทางเชื้อชาติ/สีผิว และประชาธิปไตยอาจพังทลายได้หากจำนนต่อความกลัว

บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะหมดวาระ นั่งในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่างลงนามในบรรดากฎหมายส่งท้ายปี เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา ด้านหลังสต๊าฟท์ทำเนียบขาวเพิ่งย้ายรูปปั้นมนุษย์หิมะมาไว้ในมุมที่ประธานาธิบดีจะมองเห็นจากห้องทำงาน (ที่มา: แฟ้มภาพ/Official White House Photo/Pete Souza)

 

มีอันตรายต่อประชาธิปไตยของพวกเราเป็นอย่างที่สอง ซึ่งเป็นสิ่งที่อายุยืนยาวนานเท่ากับประเทศของเราเลย หลังจากการเลือกตั้งสมัยของผมผ่านมาแล้วก็เริ่มมีการพูดถึงอเมริกาหลังยุคแบ่งแยกเชื้อชาติสีผิว และวิสัยทัศน์นี้เองแม้ว่าจะมีเจตนาดีแต่ก็ไม่เคยเป็นความจริงเลย เชื้อชาติสีผิวยังคงมักจะเป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกในสังคม ในตอนนี้ผมมีอายุยาวนานพอที่จะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติสีผิวเป็นไปได้ดีขึ้นมากกว่าเมื่อ 10, 20 หรือ 30 ปีที่แล้ว ไม่ว่าคนบางคนจะว่าอย่างไรก็ตาม (เสียงปรบมือ) คุณเห็นได้ว่ามันไม่ได้มีปรากฏแค่ในสถิติเท่านั้น คุณยังพบเห็นมันในทัศคติของคนหนุ่มสาวชาวอเมริกันทั่วทุกแนวคิดการเมือง

แต่พวกเราก็ยังไปไม่ถึงที่ๆ เราตวรจะไปถึง และพวกเราทุกคนต่างก็มีงานให้ต้องทำมากกว่าเดิม (เสียงปรบมือ) ถ้าหากประเด็นทางเศรษฐกิจทั้งหมดถูกจับใส่กรอบคิดว่าเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างชนชั้นกลางคนผิวขาวที่ทำงานหนักกับชนกลุ่มน้อยที่ไม่สมควรได้รับอะไรไปเสียหมด ก็จะทำให้แรงงานทุกส่วนถูกทิ้งให้ต่อสู้เพื่อให้เลี้ยงชีวิตไปวันๆ ขณะที่คนมั่งคั่งหลบเข้าไปอยู่ในที่ซุกตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น (เสียงปรบมือ) ถ้าพวกเราไม่ต้องการลงทุนกับเด็กที่เป็นผู้อพยพเพียงเพราะว่าพวกเขาดูไม่เหมือนพวกเรา พวกเราก็จะลดทอนโอกาสของลูกหลานพวกเราเอง เพราะว่าเด็กผิวน้ำตาลเหล่านั้นจะเป็นตัวแทนที่มีอยู่ในกลุ่มแรงงานอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ (เสียงปรบมือ) แล้วพวกเราก็แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของพวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นเกมที่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ (zero-sum game) เมื่อปีที่แล้ว ทุกๆ เชื้อชาติ ทุกช่วยวัย ทั้งชายและหญิงต่างก็มีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น

ดังนั้นถ้าหากพวกเราจะจริงจังกันเรื่องความก้าวหน้าในประเด็นเชื้อชาติสีผิว พวกเราควรจะยึดมั่นกฎหมายต่อต้านการเหมารวมกีดกัน ทั้งในการจ้างงาน ในด้านที่พักอาศัย ในด้านการศึกษา และในด้านระบบยุติธรรม (เสียงปรบมือ) นั่นคือสิ่งที่รัฐธรรมนูญของพวกเราและอุดมคติสูงสุดของพวกเราต้องการ (เสียงปรบมือ)

แต่แค่กฎหมายอย่างเดียวไม่พอ หัวใจเราต้องเปลี่ยนด้วย มันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วข้ามคืน ทัศนคติทางสังคมมักจะต้องการเวลาหลายรุ่นถึงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าหากประชาธิปไตยของพวกเราคือการทำให้ประเทศชาติมีความหลากหลายมากขึ้น ดังนั้นแล้วพวกเราทุกคนก็ควรพยายามทำตามคำแนะนำของตัวละครที่สุดยอดในนิยายของอเมริกันที่ชื่อ แอตติคัส ฟินช์ (เสียงปรบมือ) ผู้กล่าวไว้ว่า “คุณจะไม่มีทางเข้าใจคนๆ หนึ่งได้จนกว่าคุณจะพิจารณาจากมุมมองของเขา …จนกว่าคุณจะแทรกตัวเข้าไปในเนื้อหนังของเขาและเดินไปมาในนั้น”

สำหรับคนดำและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ แล้ว มันหมายถึงการผูกเอาการต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเราเองไว้กับการท้าทายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมในส่งที่ผู้คนจำนวนมากในประเทศนี้ต้องเผชิญ ไม่เพียงแค่ผู้ลี้ภัย ผู้อพยพ คนจนในชนบท หรือคนข้ามเพศชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนชั้นกลางคนผิวขาวที่เมื่อมองจากภายนอกแล้วเขาเป็นคนที่ได้เปรียบ แต่ดันเห็นโลกแบบกลับหัวกลับหางจากการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี พวกเราควรต้องให้ความสนใจและรับฟัง (เสียงปรบมือ)

สำหรับคนขาวอเมริกันแล้วมันหมายถึงการยอมรับว่าผลของการใช้ทาสและจิม โครว์ (กฎหมายบังคับแบ่งแยกเชื้อชาติสีผิวในทางตอนใต้ของสหรัฐฯ) ไม่ได้หายไปหลังจากยุค 60s (เสียงปรบมือ) นั่นคือช่วงเวลาที่ชนกลุ่มน้อยแสดงความไม่พอใจออกมา พวกเขาไม่ได้แค่ใช้วิถีการเหยียดเชื้อชาติย้อนกลับหรือการใช้ความถูกต้องทางการเมืองเท่านั้น แต่พวกเขายังทำการประท้วงอย่างสันติ พวกเขาไม่ได้ต้องการให้ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างวิเศษแต่ต้องการให้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมตามที่ผู้ก่อตังประเทศพวกเราได้ให้สัญญาไว้ (เสียงปรบมือ)

สำหรับคนที่เป็นอเมริกันโดยกำเนิด มันหมายถึงการย้ำเตือนพวกเราเองว่าการเหมารวมเกี่ยวกับผู้อพยพยังคงมีการพูดกันอยู่ในทุกวันนี้แทบจะคำต่อคำ เกี่ยวกับชาวไอริช และอิตาเลียน และโปแลนด์ และใครก็ตามที่ถูกบอกว่าจะทำลายรากฐานตัวตนของอเมริกา แล้วก็กลายเป็นว่าอเมริกาไม่ได้อ่อนแอลงจากการปรากฏตัวของผู้มาใหม่เลย ผู้มาเยือนใหม่เหล่านี้โอบรับหลักบัญญัติของประเทศ และประเทศนี้ก็แข็งแกร่งขึ้น (เสียงปรบมือ)

ดังนั้น ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม พวกเราล้วนแต่ต้องพยายามให้มากขึ้นทั้งสิ้น พวกเราทุกคนต้องเริ่มจากหลักฐานที่ว่าเหล่าพลเมืองของพวกเรารักประเทศนี้มากเท่ากับที่พวกเรารัก และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับการทำงานหนักรวมถึงครอบครัวมากเท่ากับที่พวกเราให้ความสำคัญ ลูกหลานของพวกเขาต่างก็มีความสงสัยใคร่รู้และมีความหวังรวมถึงมีคุณค่าที่จะได้รับความรักมากเท่ากับลูกหลานของพวกเราเอง (เสียงปรบมือ)

นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำ สำหรับพวกเราจำนวนมากแล้วมันปลอดภัยกว่าถ้าจะหลบเข้าไปอยู่ใน “ฟองสบู่” ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนของพวกเราเองหรือวิทยาลัยของพวกเรา หรือสถานที่ทางศาสนา หรือ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าข่าวโซเชียลมีเดียของพวกเราเองที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เหมือนกับเราและแชร์มุมมองด้านการเมืองแบบเดียวกับเราโดยที่ไม่เคยมีการท้าทายข้อสันนิษฐานของพวกเราเองเลย ความเสี่ยงจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างเปลือยเปล่าเช่นนี้ และการแบ่งชนชั้นทางเศรษฐกิจและภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ การกระจัดกระจายของสื่อพวกเรากลายเป็นช่องต่างๆ สำหรับทุกรสนิยม ทั้งหมดนี้ที่ดูเป็นการจัดประเภทแบบสุดๆ คล้ายว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติหรือถึงขั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นก็ยิ่งทำให้พวกเราซุกตัวอยู่กับฟองสบู่ของพวกเราเองจนกระทั่งพวกเราเริ่มเอาแต่รับข้อมูลที่เข้ากับความคิดเห็นของพวกเราแต่เพียงอย่างเดียวไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จก็ตาม แทนที่เราจะวางควาคิดเห็นของตัวเองอยู่บนหลักฐานข้อมูลที่มีอยู่ (เสียงปรบมือ)

 

จิตวัญญาณแห่งการศรัทธาในเหตุผล

และกระแสแบบนี้เองที่เป็นตัวแทนภัยอย่างที่สาม ต่อประชาธิปไตยของพวกเรา แต่การเมืองก็ไม่ใชเรื่องของการสู้รบทางความคิด นั่นคือสิ่งที่ประชาธิปไตยของพวกเราถูกออกแบบมาให้เป็น ในช่วงที่มีการถกเถียงอภิปรายกันอย่างเป็นประโยชน์นั้นพวกเราเน้นเรื่องความแตกต่างของเป้าหมายมาเป็นอันดับแรกและวิธีการต่างกันในการเข้าถึงเป้าหมาย แต่ถ้าไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงร่วมกันบ้างเลย ไม่มีการยอมรับข้อมูลใหม่บ้างเลย และไม่มีการยอมรับว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะพูดได้เข้าท่า เป็นวิทยาศาสตร์และใช้เหตุใช้ผล (เสียงปรบมือ) ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้พวกเราต่างก็จะพูดทะลุผ่านอีกฝ่ายไป แล้วมันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะหาจุดร่วมและการประนีประนอมได้

แล้วไม่ใช่ส่วนที่ว่านี้หรอกหรือที่ทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่ชวนให้ท้อใจ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแสดงความไม่พอใจ อ้างเรื่องการขาดดุลงบประมาณในตอนที่พวกเราเสนอให้ลงงบประมาณไปกับเด็กก่อนวัยเรียนได้อย่างไร ทั้งที่ตอนที่พวกเราตัดลดภาษีบรรษัทพวกเขาไม่โวยเรื่องนี้บ้าง (เสียงปรบมือ) พวกเราหาข้ออ้างการขาดจริยธรรมของพรรคการเมืองเราเองได้อย่างไร ทั้งที่เรากระโจนเข้าใส่พรรคอื่นด้วยเรื่องเดียวกัน มันไม่ใช่แค่เรื่องการไม่ซื่อสัตย์ การเลือกปฏิบัติรับแค่ความจริงบางอย่าง มันกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะแม่ผมเคยบอกไว้ว่าความจริงจะไล่ตามทันคุณเสมอ (เสียงปรบมือ)

ดูอย่างเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน แค่เพียง 8 ปี พวกเราก็ลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างชาติได้ครึ่งหนึ่ง พวกเราเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้นเป็นสองเท่า พวกเราเป็นผู้นำโลกไปสู่ข้อตกลงที่สัญญาว่าจะช่วยกอบกู้โลก (เสียงปรบมือ) แต่ถ้าไม่มีปฏิบัติการที่ทะยานไปไกลกว่านี้ ลูกหลานของพวกเราก็จะไม่มีเวลามาถกเถียงกันเรื่องว่าโลกร้อนมีอยู่จริงหรือไม่อีกต่อไป พวกเขาจะวุ่นวายอยู่กับการจัดการผลกระทบที่ได้รับ จะมีภัยทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีการชะงักงันทางเศรษฐกิจมากขึ้น มีคลื่นผู้ลี้ภัยที่แสวงหาที่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

ในตอนนี้พวกเราสามารถและควรจะถกเถียงกันถึงวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่การปฏิเสธปัญหาไปเลยนั้นไม่เพียงแค่เป็นการทรยศต่อคนรุ่นอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นการทรยศต่อจิตวิญญาณที่แท้จริงของประเทศนี้อีกด้วย จิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างนวัตกรรมและการแก้ไขปัญหาแบบเดียวกับที่นำทางให้ผู้ก่อตั้งประเทศของพวกเรา

มันคือจิตวิญญาณที่ถือกำเนิดมาจากยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment) ที่ทำให้พวกเราเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จิตวิญญาณที่โบยบินจากคิตตี้ฮอว์ก (ชื่อเมืองในนอร์ทแคโรไลนา และชื่อเรือรบบรรทุกเครื่องบินเก่าแก่ของสหรัฐฯ) ไปจนถึงแหลมคานาเวอรัล (แหลมในรัฐฟลอริดา อยู่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่ตั้งของศูนย์อวกาศเคนเนดี) เป็นจิตวิญญาณที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บและเอาคอมพิวเตอร์ใส่ในกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกงของทุกคน

มันคือจิตวิญญาณพวกนี้เอง จิตวิญญาณแห่งการศรัทธาในเหตุผล ความกล้าได้กล้าเสีย และการเน้นสิ่งที่ถูกต้องมาก่อนการใช้กำลัง นั่นคือสิ่งที่ช่วยให้พวกเราสามารถต้านทานการล่อลวงจากลัทธิเผด็จการฟาสซิสม์และทรราชในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราสร้างระเบียบหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กับประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ได้ ระเบียบที่ไม่ได้มาพื้นฐานมาจากแค่อำนาจการทหารแต่เพียงอย่างเดียวแต่ยังสร้างขึ้นมาจากหลักการหลายอย่าง เช่น หลักนิติธรรม หลักสิทธิมนุษยชน หลักเสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพในการมีสื่อที่เป็นอิสระด้วย (เสียงปรบมือ)

ระเบียบเหล่านี้กำลังถูกท้าทาย เริ่มแรกจากกลุ่มหัวรุนแรงที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจากศาสนาอิสลาม หลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ก็มาจากผู้มีอำนาจเผด็จการในต่างประเทศที่มองว่าตลาดการค้าเสรีและประชาธิปไตยแบบเปิดกว้างรวมถึงตัวภาคประชาสังคมเองเป็นภัยต่ออำนาจของพวกเขา ภัยต่อประชาธิปไตยจากพวกเขาเหล่านี้ส่งผลสะเทือนไปไกลยิ่งกว่าคาร์บอมบ์หรือจรวดมิสไซล์เสียอีก มันเป็นภาพแทนความกลัวการเปลี่ยนแปลง เป็นความกลัวประชาชนผู้ที่มีรูปลักษณ์แตกต่างหรือสวดภาวนาแตกต่างกัน เป็นการหยามหยันหลักนิติธรรมที่จะเป็นข้อผูกมัดให้ผู้นำถูกตรวจสอบและรับผิดชอบ เป็นความไม่อดกลั้นต่อการถูกต่อต้านและอิสรภาพทางความคิด เป็นความเชื่อว่าดาบและปืนหรือระเบิดหรือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อจะเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายว่าอะไรถูกอะไรผิด

เพราะความกล้าหาญเป็นพิเศษของชายและหญิงในเครื่องแบบของพวกเรา เพราะเหล่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของพวกเรา และผู้บังคับกฎหมาย และเหล่านักกการทูตของพวกเราที่สนับสนุนกองทัพของเรา (เสียงปรบมือ) ทำให้ไม่มีองค์กรก่อการร้ายจากต่างชาติองค์กรใดที่วางแผนและปฏิบัติกรโจมตีมาตุภูมิของพวกเราได้สำเร็จในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (เสียงปรบมือ) และแม้ว่าเหตุการณ์ในบอสตัน ออร์แลนโด ซานเบอร์นาร์ดิโน และฟอร์ทฮูดจะย้ำเตือนพวกเราว่ากระบวนการทำให้กลายเป็นพวกหัวรุนแรงนั้นเป็นอันตรายอย่างไร หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของพวกเรามีความระแวดระวังและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม พวกเราสามารถกำจัดผู้ก่อการร้ายได้หลายหมื่นคนรวมถึงบิน ลาเดน ด้วย (เสียงปรบมือ) กลุ่มสัมพันธมิตรโลกกำลังนำปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มไอซิล (กลุ่มไอซิส) ได้กำจัดผู้นำของพวกนั้นไปแล้วและสามารถยึดพื้นที่ของพวกนั้นได้ราวครึ่งหนึ่ง ไอซิลจะถูกทำลาย และไม่มีใครที่คุกคามอเมริกาจะปลอดภัย (เสียงปรบบือ)

และสำหรับเหล่าผู้ที่รับใช้และเคยรับใช้ การได้เป็นผู้บัญชาการทหารของพวกคุณถือเป็นเกียรติภูมิของผมไปชั่วชีวิต แล้วพวกเราต่างก็เป็นหนี้บุญคุณของพวกคุณอย่างลึกซึ้ง (เสียงปรบมือ)

 

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของพวกเรา

แต่การปกป้องวิถีชีวิตของพวกเรานั่นไม่ใช่แค่งานของกองทัพพวกเราแต่เพียงอย่างเดียว ประชาธิปไตยยังสามารถพังทลายลงได้ถ้าหากเรายอมจำนนให้กับความกลัว ดังนั้น พวกเรา ในฐานะที่เป็นพลเมือง ควรต้องคอยเฝ้าระวังการรุกรานจากภายนอกเสมอ พวกเราควรต้องปกป้องคุณค่าที่ทำให้พวกเราเป็นเราซึ่งเป็นคุณค่าที่กำลังอ่อนแรงลง (เสียงปรบมือ)

และนั่นคือสาเหตุที่ทำไมในช่วงตลอด 8 ปีที่ผ่านมาผมถึงทำงานต่อสู้กับการก่อการร้ายโดยยึดหลักการกฎหมายอย่างหนักแน่นขึ้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงหยุดการทารุณกรรม พยายามปิดคุกกวนตานาโม (เรือนจำขังนักโทษที่อื้อฉาวเรื่องการทารุณกรรมนักโทษ)  ปฏิรุปกฎหมายของพวกเราเกี่ยวกับการสอดแนมเพื่อคุ้มครองสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพพลเมือง (เสียงปรบมือ) นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต่อต้านการเหยียดชาวมุสลิมอเมริกันผู้ที่มีความรักชาติมากเท่าพวกเรา (เสียงปรบมือ)

มันคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงหลีกหนีการต่อสู้ขนาดใหญ่ในระดับโลกไปไม่ได้ ในการที่จะแผ่ขยายประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าความพยายามของพวกเราจะไม่สมบูรณ์แบบแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าการละเลยค่านิยมเหล่านี้จะทำให้เราได้เปรียบมากแค่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการปกป้องอเมริกา สำหรับการต่อสู้แนวคิดสุดโต่ง ความไม่อดกลั้นต่อความต่างนั้น การแบ่งแยกนิกายศาสนา และการคลั่งชาตินั้น เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับอำนาจนิยมและการรุกรานจากชาตินิยม ถ้าหากขอบเขตของเสรีภาพและการเคารพในหลักนิติธรรมลดลงทั่วโลก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามภายในหรือระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และเสรีภาพของพวกเราเองก็จะถูกคุกคามไปด้วย

ฉะนั้นเรามาคอยเฝ้าระวังกันเถอะแทนที่จะหวาดกลัว (เสียงปรบมือ) กลุ่มไอซิลจะพยายามหาทางสังหารผู้บริสุทธิ์ แต่พวกเขาจะไม่สามารถถโค่นล้มอเมรริกาได้เว้นแต่พวกเราทรยศต่อรัฐธรรมนูญและหลักการของพวกเราในการต่อสู้ (เสียงปรบมือ) คู่แข่งอย่างรัสเซียและจีนจะไม่อาจสู้กับอิทธิพลต่อทั่วโลกของพวกเราได้เลยเว้นแต่พวกเรายอมละจุดยืนที่พวกเรามีมาตลอด (เสียงปรบมือ) แล้วก็เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแค่ประเทศใหญ่ๆ ประเทศหนึ่งที่ข่มเหงรังแกเพื่อนบ้านที่ตัวเล็กกว่า

นั่นนำมาสู่ประเด็นสุดท้ายสำหรับผมคือ ประชาธิปไตยของพวกเราจะถูกคุกคามเมื่อใดก็ตามที่พวกเราไม่เห็นความสำคัญของมัน (เสียงปรบมือ) พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม ควรจะต้องเอาตัวเองเข้าไปทำภารกิจสร้างสถาบันประชาธิปไตยกันขึ้นมาอีกครั้ง (เสียงปรบมือ) เมื่ออเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการลงคะแนนเสียงน้อยที่สุดในหมู่ประเทศที่มีประชาธิปไตยพัฒนาแล้ว พวกเราควรจะทำให้มันง่ายขึ้น ไม่ใช่ยากขึ้น ในการที่จะลงคะแนนเสียง (เสียงปรบมือ) เมื่อความไว้ใจสถาบันของพวกเราอยู่ในระดับต่ำ พวกเราก็ควรจะลกอิทธิพลของเงินที่บ่อนเซาะต่อประชาธิปไตยของพวกเราลง และยืนยันในหลักการเรื่องความโปร่งใสและจริยธรรมในการให้บริการประชาชน (เสียงปรบมือ) เมื่อสภาคองเกรสไม่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ พวกเราควรจะนำพาภาคส่วนรัฐสภาให้ส่งเสริมนักการเมืองในการคำนึงถึงสามัญสำนึกและไม่สุดโต่งเข้มงวดเกินไป (เสียงปรบมือ)

แต่ก็ต้องจำไว้ว่า ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยตัวมันเอง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของพวกเรา พวกเราทุกคนต้องยอมรับว่าตัวเองมีความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง ไม่ว่าจะลูกตุ้มแห่งขั้วอำนาจจะกำลังเหวี่ยงไปทางใดก็ตาม

รัฐธรรมนูญของพวกเรานั้นยอดเยี่ยม เป็นของขวัญที่งดงาม แต่มันก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว ตัวมันเองไม่ได้มีพลังอยู่ในตัวเองหรอก แต่เป็นพวกเรา…ประชาชนอย่างพวกเรา ที่ให้พลังกับมัน (เสียงปรบมือ) พวกเรา…ประชาชน ให้ความหมายกับมัน ด้วยการมีส่วนร่วมของพวกเราและทางเลือกที่พวกเราเลือก และพันธมิตรที่พวกเราร่วมมือกันสร้างขึ้น (เสียงปรบมือ) ไม่ว่าพวกเราจะลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อเสรีภาพของพวกเราเองหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าพวกเราจะเคารพและทำให้เกิดหลักนิติธรรมหรือไม่ก็ตาม มันขึ้นอยู่กับพวกเรา อเมริกาไม่ใช่สิ่งที่เปราะบาง แต่สิ่งที่เราได้รับจากการเดินทางไปสู่อิสรภาพอันยาวนานนั้นไม่มีอะไรรับประกันได้

“สายใยเหล่านั้นอ่อนแอลงเมื่อพวกเรานิยามพวกเรากันเองแค่บางกลุ่มว่ามีความเป็นอเมริกันมากกว่าคนอื่น”

ในสุนทรพจน์อำลาตำแหน่งของจอร์จ วอชิงตัน (ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ) ได้เขียนไว้ว่าการมีจัดการตนเองนั้นเป็นรากฐานความเข้มแข็งของความปลอดภัย ความรุ่งเรือง และเสรีภาพของพวกเรา แต่ในนั้นก็ยังระบุว่า “จากประเด็นสังคมที่ต่างกันและภาคส่วนที่ต่างกันจะทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก…จะทำให้ความเชื่อมั่นต่อความจริงนี้ในจิตใจคุณอ่อนแอลง” และพวกเราควรจะรักษาความจริงนี้ไว้ด้วย “ความกังวลอันริษยา” อย่างการที่พวกเราควรปฏิเสธ “ทุกๆ การริเริ่มพยายามทำให้ภาคส่วนใดๆ ของประเทศพวกเราแปลกแยกจากส่วนอื่นๆ หรือทำให้สายใยอันศักดิ์สิทธิในสังคมอ่อนแรงลง” นั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียว (เสียงปรบมือ)

อเมริกา พวกเราทำให้สายใยในสังคมที่ว่าอ่อนแรงลง พวกเราเปิดทางให้การถกเถียงทางการเมืองของพวกเรากลายเป็นสิ่งที่กัดกร่อนอย่างมากจนกระทั่งทำให้คนที่มีลักษณะที่ดีถึงขั้นไม่ยอมเข้าร่วมกับการบริการสาธารณะ มันหยาบกร้านไปด้วยความโกรธแค้นที่ชาวอเมริกันมองคนทีพวกเราไม่เห็นด้วยไม่ใช่เพียงแค่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิดเท่านั้นแต่ยังมองว่าชั่วช้าด้วย พวกเราทำให้สายใยเหล่านั้นอ่อนแอลงเมื่อพวกเรานิยามพวกเรากันเองแค่บางกลุ่มว่ามีความเป็นอเมริกันมากกว่าคนอื่น เมื่อพวกเราตีค่าไปแล้วล่วงหน้าว่าระบบทั้งระบบมันเสื่อมทรามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อพวกเราเอาแต่เอนหลังแล้วก็โทษทุกอย่างกับผู้นำที่เลือกตั้งเข้ามาโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบบทบาทของพวกเราเองในการที่เลือกคนพวกนี้เข้ามาเลย (เสียงปรบมือ)

สิ่งนี้ตกอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราทั้งหมดในการที่เราจะเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตยของพวกเราเองทั้งที่มีความกังวลและริษยา ในการที่จะโอบรับหน้าที่อันน่าปิติในการพัฒนาประเทศที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของพวกเราจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทุกคนล้วนมีตำแหน่งยศที่น่าภาคภูมิใจเหมือนกันทั้งหมด เป็นยศสำนักงานที่สำคัญที่สุดในประชาธิปไตยของพวกเรา นั่นคือ พลเมือง (เสียงปรบมือ) …พลเมือง

ดังนั้นคุณก็เห็นแล้วว่าประชาธิปไตยของพวกเราต้องการอะไร ประชาธิปไตยต้องการคุณ ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงที่มีการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะตอนที่ผลประโยชน์จำเพาะของตัวเองตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น แต่เป็นตลอดชั่วชีวิตของคุณ ถ้าหากคุณเหนื่อยล้ากับการโต้เถียงกับคนแปลกหน้าบนอินเทอร์เน็ต ลองพูดกับพวกเขาสักหนึ่งในโลกความจริงดูสิ (เสียงปรบมือ) ถ้าอะไรบางอย่างต้องการได้รับการแก้ไข ก็ถึงเวลาผูกเชือกรองเท้าคุณแล้วก็จัดตั้งขบวนกันสักหน่อย (เสียงปรบมือ) ถ้าหากคุณผิดหวังกับเจ้าหน้าที่ที่คุณเลือกตั้งเข้ามา หยิบกระดานจดของคุณออกมา ออกไปล่ารายชื่อ แล้วก็ไปยื่นสำนักงานด้วยตนเอง (เสียงปรบมือ) แสดงตัวออกมา จดจ่อ แล้วก็อยู่กับประเด็นนั้น

บางทีคุณอาจจะชนะ บางทีคุณอาจจะแพ้ การคาดไปก่อนล่วงหน้าถึงความดีงามในตัวคนอื่นเป็นเรื่องเสี่ยง และบางครั้งกระวนการก็จะทำให้คุณผิดหวัง แต่สำหรับคนที่โชคดีพอก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้และได้มองมันใกล้ๆ ขอให้ผมได้บอกคุณหน่อยเถอะ ว่ามันสามารถสร้างพลังและแรงบันดาลใจได้ และหลายครั้งที่ศรัทธาในอเมริกาและในชาวอเมริกันของคุณจะได้รับการยืนยัน

ตัวผมเองก็เป็นเช่นนั้น ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาผมได้มองเห็นใบหน้าที่มีความหวังของคนเรียนจบใหม่และเจ้าหน้าที่ทหารรุ่นใหม่ที่สุดของพวกเรา ผมได้ร่วมโศกเศร้าไปกับครอบครัวผู้เจ็บปวดที่ยังคงค้นหาคำตอบ แล้วก็ได้พบเห็นความงดงามในโบสถ์ชาร์ลส์ตัน ผมได้เห็นนักวิทยาศาสตร์ของพวกเราช่วยเหลือคนเป็นอัมพาตกลับมามีประสาทสัมผัสการแตะต้องได้ ผมได้เห็นนักรบที่บาดเจ็บซึ่งในตอนนั้นสิ้นหวังจะถูกปล่อยให้ตายไปกลับมาเดินได้อีกครั้ง ผมได้เห็นแพทย์ของพวกเราและอาสาสมัครช่วยกันสร้างอาคารหลังแผ่นดินไหวและหยุดยังโรคระบาด ผมได้เห็นเด็กที่เยาว์วัยที่สุดย้ำเตือนพวกเราผ่านการกระทำของพวกเขาและผ่านความเอื้อเฟื้อของพวกเขาในการทำหน้าที่ดูแลผู้ลี้ภัยหรือทำงานเพื่อสันติภาพ และทั้งหมดทั้งมวลคือการดูแลกันและกัน (เสียงปรบมือ)

ดังนั้นแล้วศรัทธาที่ผมวางเอาไว้เพื่อหลายปีที่แล้วไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่เลย มันอยู่ในพลังของคนธรรมดาชาวอเมริกันที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ศรัทธานั้นให้อะไรบางอย่างแก่ผมในแบบที่ผมไม่สามารถจินตนาการออกได้ แล้วผมก็หวังว่าศรัทธาของคุณก็จะให้อะไรคุณเช่นกัน คุณบางคนในที่นี้คืนนี้หรือดูอยู่ที่บ้าน คุณอยู่กับพวกเราในปี 2547, 2551, 2555 (เสียงปรบมือ) บางทีคุณเองก็อาจจะไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ขอให้ผมได้บอกกับคุณ ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่รู้สึกเช่นนี้ (เสียงหัวเราะ)

(หมายเหตุ – หลังจากสุนทรพจน์ในท่อนนี้ก็จะเป็นช่วงที่โอบามาก็กล่าวขอบคุณครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของเขา)

เรียบเรียงจาก

President Obama farewell address: full text, CNN, 10-01-2017

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Jim_Crow_laws


You must be logged in to post a comment Login