วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ถ้าผิดก็ให้รัฐยึดคืน / โดย พระพยอม กัลยาโณ

On January 23, 2017

คอลัมน์ : พระพยอมวันนี้
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

คอลัมน์พระพยอมฉบับนี้ต้องขอแก้ไขความเข้าใจข้อมูล ดร.โสภณ พรโชคชัย สักนิด ที่เขียนคอลัมน์ “โลกอสังหาฯ” เกี่ยวกับปัญหาที่ดินวัดฉบับที่แล้ว เพราะพาดพิงถึงวัดสวนแก้วที่อาตมาบริหารจัดการมูลนิธิ โดยพูดถึงวัดต่างๆตั้งแต่วัดพระธรรมกายเขาใหญ่จนมาวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ วัดป่าชัยมงคล และที่ดินของพุทธะอิสระ รวมถึงที่ดินวัดสวนแก้ว

ข้อมูลบอกว่า มูลนิธิสวนแก้วสาขาซอโอที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จำนวน 342 ไร่ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 ซื้อมา 16.9 ล้านบาท มีสิ่งก่อสร้าง 65 ล้านบาท ประเด็นเกี่ยวกับที่ดินเป็นใบ ภบท.5 เกือบทั้งหมด ซื้อขายไม่ได้ และขณะนี้กำลังมีการออกเป็น ส.ป.ก.4-01 หากมีการตรวจสอบแบบวัดพระธรรมกายก็อาจถูกตั้งคำถามเช่นกัน ซึ่งอาจหนักกว่ากรณีโฉนดถุงกล้วยแขก

สรุปเนื้อความย่อๆว่าอย่างนี้ เรียกว่าอย่าตรวจสอบแต่เพียงวัดเดียวอะไรทำนองนั้น ก็ขอฝากบอกว่า ที่ดินไม่ถึง 300 กว่าไร่ ซึ่งที่ดินแถวนั้นก็ได้กันมา ถือกันมา ทำกันมา แล้วก็มาเสนอขาย

สมัยโน้นอาตมาเองก็ไม่รู้เรื่องเลย ตอนนั้นมีเพื่อนพระจากสวนโมกข์ด้วยกันไปอยู่ที่นั่น มีวัดๆหนึ่งเป็นวัดเล็กๆ ท่านขอร้องว่าจะขยายสาขาเพื่อช่วยเหลือคนยากคนจนหน่อย ปัญหาก็คือที่ดินไม่ตรงกับพื้นที่ ไม่มีสิ่งก่อสร้างบนเนื้อที่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว มีแต่คอกควายกับที่ดินเล็กๆน้อยๆ ราคาไม่น่าจะถึงแสนถึงล้านบาท ใบโฉนดอะไรนี่ก็ต้องไปถามพ่อเลี้ยงยมเขาได้กันมาอย่างไรมันถึงตกทอดมา ที่ดินแถวๆนั้นทราบมาว่านายพลอดีตแม่ทัพภาค อดีตนายทหารใหญ่ที่เคยยึดอำนาจก็ไปมีที่ดินคนละ 500 ไร่ 1,000 ไร่ก็มี ก็ทำมาหากินกันไป

ที่สำคัญวัตถุประสงค์ต่างกันลิบโลกกับวัดพระธรรมกาย คือเราซื้อให้คนยากจน กะเหรี่ยง พม่า ใครที่ไม่มีที่ทำมาหากินก็ไปอยู่ทำมาหากิน ปลูกสร้างกันไป ไม่มีลักษณะเป็นรีสอร์ตหรือเป็นที่ปฏิบัติธรรม ไม่มีเชิงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เด็ดขาด ถ้ามีก็พร้อมยกให้เลย

ที่ก่อสร้างจริงๆนั้นไม่ได้ไปสร้างในเนื้อที่ที่ชาวบ้านเขายกให้ทำเป็นวัด สร้างแค่ศาลาหลังหนึ่งพอให้เด็กเข้าค่าย นอนชั้นล่างได้ จำได้ว่าเหมากันไปคราวนั้นประมาณ 4 ล้านบาท ต่อมามีการสร้างที่พักเพื่อให้เด็กเรียน พระสงฆ์ไปพักอีกหลังหนึ่งก็ประมาณล้านกว่าบาท เบ็ดเสร็จก็ 5 ล้านบาท

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งสร้างให้คนงาน เป็นที่พักเวลาเด็กไปเยอะ รวมเบ็ดเสร็จแล้วไม่น่าจะเกิน 6-7 ล้านบาท ถ้าเป็นซูเปอร์อาคาร อันนี้ก็เพื่อให้เด็กรู้จักพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูปอะไรต่างๆ เรียกว่าเกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมให้ครบ เหมือนโรงงานอาชีพ ไม่มีสร้างเป็นรีสอร์ตหรือคอนโดมิเนียมเชิงพาณิชย์ใดๆทั้งสิ้น

นี่ก็ขอทำความเข้าใจนิดหนึ่ง และวัตถุประสงค์เจตนาของเราไม่คิดที่จะทำลักษณะที่ค้ากำไร มีแต่ขาดทุน เพราะนำเงินนำทองไปสนับสนุนให้เขาได้ดำเนินการอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงตัวเขาได้ วัตถุประสงค์และนโยบายต่างกันกับที่ยกขึ้นมาอ้าง เราไม่ได้ทำสมุนไพรหรือทำอะไร ประกอบอาชีพพืชไร่ทางการเกษตรโดยตรง มีซูเปอร์มาร์เกตผู้ยากไร้ของขายราคาถูก และส่วนหนึ่งที่ทำอุตสาหกรรมก็บีบน้ำอ้อยบ้าง ทำกระบอกบ้าง เรียกว่าส่งเสริมการอาชีพ เพราะที่วัดเราตั้งกองทุนสัมมาชีพ ไม่เคยคิดจะทำเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างที่เป็นข่าว ก็ขอแจ้งทำความเข้าใจกับท่าน ดร.โสภณไว้ด้วย จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง

เนื้อที่ที่อยู่บนป่าบนเขาอะไรที่ว่านั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการก่อสร้างอะไรเลย แล้วก็มีชาวบ้านแถวนั้นไปปลูก ไปสร้างรอบๆ รวมความแล้วก็คือ ถ้าจะยึดคืนหรือเอาคืน เอาความผิด อาตมาก็พร้อมเลย เพราะว่าการบริหารจัดการก็เหน็ดเหนื่อย ถ้ารัฐจะเอาไปทำประโยชน์อะไรได้ก็พร้อมยินดีจะให้เลย แต่สงสารคนงานที่ต้องหาที่อยู่ทำมาหากินกัน ก็แล้วแต่รัฐจะรับผิดชอบไป ถ้ารัฐยังให้เราทำอยู่ ประชาชนคนยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทำมาหากินก็จะได้อยู่ทำมาหากินต่อไป

เรื่องนี้คล้ายๆกับว่าพอมีที่หนึ่งทำขึ้น แต่บางทีวัตถุประสงค์เจตนา เราไม่ได้มาเปล่าๆ คนที่ครอบครองก็ลองไปถามเขาดูว่าได้มาถูกต้องยังไง ลองไปดูที่แถวนั้นที่มีพวกนายพลนายทหารใหญ่เข้าถือครองที่ดินกันมีเท่าไร ลองดูว่าเขาได้กันมาอย่างไร แต่เราซื้อทอดกันมา แล้วพระท่านที่ติดต่อก็มรณภาพไปแล้ว มาขอร้องว่าอยากให้คนมีที่ทำมาหากิน ให้ช่วยซื้อไว้ให้หน่อย มูลนิธิเห็นว่าเราพอมีปัจจัยจะอุดหนุนเกื้อกูลกันได้ก็ซื้อไว้ ไม่มีเจตนาที่จะขยายใหญ่ แผ่อาณาจักรอะไร เพียงแต่ต้องการเผยแพร่อาชีพเท่านั้นเอง

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login