- อย่าไปอินPosted 19 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ปรองดองแบบคสช.
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
การสร้างความปรองดองตามนโยบายของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กระแสตีกลับไปกลับมา
จากเปิดตัวสวยหรูได้รับเสียงตอบรับเซ็งแซ่ มาเป็นทำท่าจะวุ่นวายเพราะต่างฝ่ายต่างเสนอเงื่อนไขและวิจารณ์เชิงไม่ยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย
ล่าสุดกระแสกลับมาดีอีกครั้ง เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่เคยวุ่นวายก่อนหน้านี้ดูค่อยๆสงบลง โดยมีเสียงของการตอบรับให้ความร่วมมือกลับดังขึ้นมาแทนที่อีกครั้ง
แม้แต่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่เดิมทีมีทีท่าไม่ตอบรับเท่าที่ควร ก็กลับลำส่งเสียงเชียร์กระบวนการสร้างความปรองดอง โดยให้เหตุผลว่ามองเห็นถึงความตั้งใจจริงของนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยันชัดเจนว่าจะไปเข้าร่วมแสดงความเห็น หากได้รับเทียบเชิญ และจะพยายามช่วยให้ค้นพบแนวทางสร้างความปรองดองแบบยั่งยืนให้ได้
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ดูจะเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เทคแอ็กชั่นเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคได้เรียกแกนนำพรรคหารือเพื่อทำข้อเสนอสร้างความปรองดองส่งให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
หลักการของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเสนอ คือ ให้วางแนวทางสร้างความปรองดองเพื่ออนาคต ส่วนเรื่องในอดีตให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อใช้กระบวนการยุติธรรมสืบหาข้อเท็จจริง หากจะมีการนิรโทษกรรมควรมีเฉพาะในส่วนของประชาชนที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น
ส่วนบรรดาแกนนำให้รอผลคดีความสิ้นสุดก่อน เพื่อให้ทุกคนทราบข้อเท็จจริง หลังจากนั้นจะมีกระบวนการอภัยโทษก็ยอมรับได้
หลักการที่เสนอมาไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเก่าที่พูดกันมาตลอดว่าให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชน แต่ต้องไม่เกี่ยวกับความผิดตามมาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน การอภัยโทษควรเกิดหลังคดีความสิ้นสุด เพื่อให้ทุกคนรับรู้ความจริงผ่านการพิจารณาคดีในกระบวนการยุติธรรม และผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดต้องยอมรับผลที่ออกมาเสียก่อน
นี่น่าจะเป็นหลักการที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันเพราะทุกครั้งที่พูดถึงการสร้างความปรองดอง ไม่ว่าฝ่ายไหนก็นำเสนอหลักการทำนองเดียวกันนี้แทบทั้งสิ้น
แม้จะเป็นหลักการที่ดี แต่ปัญหาคือหากยึดตามแนวทางนี้ กระบวนการปรองดองจะไม่เสร็จในอายุของรัฐบาล “บิ๊กตู่” ที่เหลืออยู่อีกปีเศษๆ เพราะกระบวนการพิจารณาคดียังมีอีกยืดยาว บางคดีเกิดมานานร่วม 10 ปี เพิ่งเริ่มสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลย กว่าจะรู้ผลขั้นสุดท้ายในชั้นศาลฎีกาไม่รู้ว่าจะต้องรออีกกี่ปี
ถ้าไม่ใช้อำนาจพิเศษเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีการสร้างความปรองดองก็ไม่ต่างจากขอนไม้ลอยน้ำตุ๊บป่องๆ ลอยไปเรื่อยๆไม่มีแนวโน้มที่จะเข้าใกล้ฝั่ง
ยิ่งเมื่อฟังจากปากผู้รับผิดชอบสร้างความปรองดอง อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ยืนยันว่า
“เราจะเสนอให้คนมีความเข้าใจ และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ใช่ออกกฎหมายให้คนทำผิด แล้วไม่ต้องรับผิด”
ทำให้ภาพของความปรองดองมีแนวโน้มว่าจะเน้นออกกฎตีกรอบไม่ให้เกิดการชุมนุมบนท้องถนนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ปิดช่องทางไม่ให้ยั่วยุปลุกปั่นมวลชน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ คสช.ใช้มาตลอดตั้งแต่เข้ายึดอำนาจจนได้รับเสียงชื่นชมว่าทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข
เมื่อไม่ออกกฎหมายให้คนผิดไม่ต้องรับผิด เมื่อไม่ใช่อำนาจพิเศษเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดี
ใครที่คาดหวังว่าจะมีนิรโทษกรรม ไม่ว่าจะเฉพาะกลุ่มหรือเหมาเข่ง ขอให้เตรียมใจรับความผิดหวังไว้ได้เลย
You must be logged in to post a comment Login