วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เอสซีจี เดินหน้ารุกตลาด ASEAN

On January 26, 2017

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2559 มีรายได้จากการขาย 423,442 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากปีก่อน มีกำไร 56,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก 112,549 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม
ในไตรมาสที่สี่ปี 2559 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 99,613 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง มีกำไร 12,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลประกอบการของบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้น และลดลงร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้ มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน Cracker ของ ROC เป็นเวลา 40 วัน และราคาสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลงตามสถานการณ์แข่งขัน

สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน ในปี 2559 เอสซีจี มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียน 97,669 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน เนื่องจากมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าปรับตัวลง ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มูลค่า 126,055 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีมูลค่า 539,688 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2559 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 170,944 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่สูงขึ้น มีกำไรสำหรับปี 8,492 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่ลดลง และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 188,163 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากปีก่อน เป็นผล มาจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ในตลาดโดยรวมลดลง กำไรสำหรับปี 42,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากปีก่อน เนื่องจากวัฏจักรขาขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และผลประกอบการของบริษัทร่วมที่ปรับตัวดีขึ้น
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 74,542 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 3,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “ด้านการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้างแบรนด์เอสซีจีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเอสซีจีเชื่อมั่นว่า ภูมิภาคอาเซียนเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐ รวมถึงการบริโภคในประเทศ และการค้าขายระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกัน ทั้งนี้ ความคืบหน้าการลงทุนในอาเซียนเดินหน้าตามแผน โดยโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา มีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตันต่อปี และโรงงานกระดาษคราฟท์ในประเทศเวียดนามโรงงานแห่งที่สอง กำลังการผลิต 243,000 ตันต่อปี ทำให้มีกำลังผลิตรวมเป็น 489,000 ตันต่อปี ซึ่งทั้งโรงงานปูนซีเมนต์ และโรงงานกระดาษคราฟท์ ได้ผลิตสินค้าออกสู่ตลาดแล้วในต้นปี 2560 ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ในสปป.ลาว อยู่ระหว่างการทดสอบการเดินเครื่องการผลิต อย่างไรก็ตาม เอสซีจีได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ อาทิ การปรับตัวของราคาของวัตถุดิบเคมีภัณฑ์ และต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ มีคู่แข่งที่มีศักยภาพ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นกันสำหรับประเทศไทย อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2560 คาดการณ์ว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อีกทั้ง มีการผลักดันให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศจากการที่เอสซีจีได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้อย่างรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ อาทิ การสร้าง “สุขาเพื่อประชาชน” ห้องสุขาน็อคดาวน์บริเวณท้องสนามหลวง เสร็จภายใน 3 วัน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปต่างๆ ได้แก่ โครงสร้างระบบ โมดูลาร์ของ SCG Heim ระบบหลังคา ผนังสมาร์ทบอร์ด เป็นต้น

โดยในปี 2559 เอสซีจีใช้งบประมาณการวิจัยและพัฒนาไปกว่า 4,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม สำหรับยอดขายสินค้า HVAในปี 2559 คิดเป็น 160,910 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 ของยอดขายรวม นอกจากการพัฒนานวัตกรรมส่งผลให้มีรายได้ต่อเนื่อง เอสซีจียังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ให้พนักงานสามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแต่ยังคงประสิทธิภาพพร้อมปรับตัวให้ทันต่อสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง และพฤติกรรมของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
คณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 19.00 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 22,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท เป็นเงิน 10,198 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 10.50 บาท รวมเป็นเงิน ประมาณ 12,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าว ให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 7 เมษายน 2560 และปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 เมษายน 2560 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 เมษายน 2560) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2560 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี


You must be logged in to post a comment Login