วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ศาสนามีความเหมือนมากกว่าความต่าง / โดย บรรจง บินกาซัน

On February 27, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

เด็กวัยประถมฯกับเด็กมหาวิทยาลัยถึงแม้จะมีความรู้แตกต่างกัน แต่เด็กทั้ง 2 วัยนี้มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือความรู้ในเรื่องตัวเลขและการคิดคำนวณ ซึ่งเป็นฐานวิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิศวกรรม และวิชาอื่นๆที่ต้องอาศัยตัวเลข ใครเรียนสูงขนาดไหนต่างล้วนรู้จักเลข 1 ถึง 10 เหมือนกับเด็กประถมฯรู้จัก

นั่นหมายความว่ามนุษย์มีความรู้เรื่องวิชาคณิตศาสตร์อยู่แล้วถ้าได้เข้าโรงเรียน

ถ้าแกล้งตบหัวเด็กวัย 7 ขวบ และถามเด็กว่าการโดนรังแกเป็นเรื่องดีไหม เด็กจะตอบทันทีโดยสัญชาตญาณว่าไม่ดีและจะไม่ชอบคนรังแก นี่แสดงว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ตั้งแต่เด็กรู้แล้วว่าการรังแกเป็นสิ่งไม่ดี

ถ้าผู้ใหญ่โดนรังแก โดยสัญชาตญาณใครก็ต้องสู้เพื่อป้องกันตัวเองและมิให้คนอื่นรังแก นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่าธรรมชาติทางจิตใจของมนุษย์ยอมรับว่าการต่อสู้เพื่อปกป้องตนเองเป็นความยุติธรรม

ถามใครที่นับถือศาสนาใดดูก็ได้ว่าการฆ่า การผิดประเวณี การลักขโมย การพูดจาโกหกเป็นสิ่งดีไหม ทุกศาสนิกจะตอบออกมาจากสัญชาตญาณเหมือนกันว่าไม่ดี และถ้าถามว่าความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญู ความสุภาพนอบน้อมถ่อมตนเป็นสิ่งดีไหม ทุกศาสนิกจะตอบออกมาจากสัญชาตญาณเหมือนกันว่าเป็นสิ่งดี

นี่เป็นสิ่งที่แสดงว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังไว้ในสัญชาตญาณมนุษย์ทุกคนอยู่แล้วโดยไม่ต้องสอน ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะนับถือศาสนาใด มันเป็นความรู้สึกร่วมกันที่ได้รับการยืนยันในคำสอนของทุกศาสนา ศาสนาถูกส่งมาเพื่อยืนยันธรรมชาติดั้งเดิมที่สอดคล้องกับความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์ และบอกวิธีการที่จะส่งเสริมมนุษย์ให้ทำความดีและยับยั้งความชั่ว

ถ้าคุณธรรมและจริยธรรมเป็นความรู้ที่ได้รับการปลูกฝังในสัญชาตญาณของมนุษย์และได้รับการยืนยันจากศาสนา นั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดมนุษย์ในโลกนี้นับถือศาสนาเดียวกัน

แต่ศาสนายังมีเรื่องความเชื่อหรือความศรัทธาและการปฏิบัติศาสนกิจเป็นองค์ประกอบอีก เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วเราจะพบความเหมือนกันมากกว่าความแตกต่าง เช่น ความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า ความเชื่อในชีวิตโลกหน้า ความเชื่อในอำนาจเร้นลับที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ไม่สามารถแตะต้อง เป็นต้น เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ถูกเรียกด้วยภาษาที่ต่างกัน

สิ่งที่ทำให้ความเชื่อเหล่านี้มีความแตกต่างกันก็เพราะความเข้าใจของมนุษย์เองที่แตกต่างกัน และมนุษย์พยายามจะจินตนาการสิ่งที่มองไม่เห็นให้เป็นรูปภาพ เช่น การวาดภาพเทวดาเป็นตัวตนให้คนบูชาสักการะ หรือการวาดภาพภูตผีปิศาจเพื่อให้คนกลัว

ในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ ทุกศาสนิกเคารพสักการะสิ่งที่ตัวเองนับถือ ไม่มีศาสนาใดที่ไม่สอนเรื่องการบริจาคทาน ศาสนิกของศาสนาต่างๆยังถือศีลอดอาหารในรูปแบบที่แตกต่างกัน

หากพิจารณาโดยรวมและศึกษาถึงแก่นธรรมแล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้มีความเชื่อ การปฏิบัติทางศาสนา และคุณธรรมจริยธรรมส่วนใหญ่ร่วมกัน ศาสนาจึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้มนุษย์หรือสังคมแตกแยกกัน

ความไม่เข้าใจคำสอนศาสนาของผู้นับถือศาสนาต่างหากที่ทำให้คนบางกลุ่มอ้างว่าศาสนาเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้ง เช่น คนบางกลุ่มอ้างว่าศาสนาเป็นเรื่องของพระหรือนักบวช ศาสนาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับชีวิตคนสามัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วคำสอนของศาสนาถือว่าการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานอกศาสนสถานคือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เช่น การไม่เสพสิ่งมึนเมา การแต่งกายปกปิดมิดชิด เป็นต้น

การยืนยันปฏิบัติธรรมนอกศาสนสถานในชีวิตประจำวันนี้เองที่ไปขัดกับผลประโยชน์และความรู้สึกของผู้ที่ถือว่าศาสนาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกิจกรรมประจำวันนอกศาสนสถานของมนุษย์ จึงทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นในใจ และอ้างว่าศาสนาเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้ง


You must be logged in to post a comment Login