วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

‘ธรรมกาย’ในประวัติศาสตร์ / โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

On February 27, 2017

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

งานวิจัยที่สำคัญชิ้นหนึ่งเรื่อง “ศาสนทัศน์ของชุมชนเมืองสมัยใหม่ ศึกษากรณีวัดพระธรรมกาย” โดยอภิญญา เฟื่องฟูสกุล ให้ภาพเกี่ยวกับแนวทางของวัดพระธรรมกายได้ชัดเจนว่า แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในกระบวนการปฏิรูปศาสนาพุทธ โดยวางเป้าหมายให้วัดกลับมาเป็นศูนย์กลางของชุมชน และหวังให้วัดพระธรรมกายเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ศาสนาพุทธแข่งขันกับวาติกันของคริสต์ศาสนาและเมกกะของศาสนาอิสลาม

วัดพระธรรมกายจึงต้องสร้างองค์กรให้เข้มแข็งและมีเศรษฐกิจมั่นคงควบคู่ไปกับการสร้างคำอธิบายศาสนาพุทธแบบใหม่ให้เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “บุญ” หรือ “นิพพาน” โดยการใช้มรรควิธีแห่ง “สมาธิ” เป็นเครื่องมือ การเติบโตของวัดพระธรรมกายส่วนหนึ่งจึงเป็นการตอบสนองความต้องการความหลากหลายทางศาสนาในสังคมสมัยใหม่ เพื่อให้พุทธศาสนาอยู่รอดและมีบทบาทในสังคมสมัยใหม่ต่อไป

ความจริงแล้ววิชชาธรรมกายมีจุดเริ่มต้นมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งมีชื่อเดิม “สด มีแก้วน้อย” เกิดเมื่อ พ.ศ. 2427 ที่บ้านสองพี่น้อง สุพรรณบุรี ออกบวชเมื่อ พ.ศ. 2449 และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญเมื่อ พ.ศ. 2459 เปลี่ยนวัดปากน้ำให้กลายเป็นวัดขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จัก ที่สำคัญกว่านั้นคือ การค้นพบวิชชาธรรมกาย โดยการเพ่งสมาธิให้เห็นดวงแก้วและระลึกถึงพระพุทธคุณเพื่อควบคุมจิตใจจึงสามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะ เมื่อหลวงพ่อสดค้นพบวิชชาธรรมกายก็ได้เผยแพร่แก่ศิษย์ ทำให้เป็นที่สนใจของสาธุชนจำนวนมาก หลวงพ่อสดสั่งสอนศิษย์จนถึงวันมรณภาพเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502

ศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งคือ คุณจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งเดิมเป็นลูกชาวนานครชัยศรี แต่มีศรัทธาแก่กล้าในวิชชาธรรมกาย จึงปลงผมเป็นชีประจำอยู่วัดปากน้ำ จนกระทั่งได้ลูกศิษย์คนสำคัญคือ ไชยบูลย์ สุทธิผล ชาวสิงห์บุรี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2487 ซึ่งสนใจในพระธรรมตั้งแต่เด็ก จนเข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ศึกษาพระศาสนามากขึ้น ต่อมาเข้าศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ได้ทราบเรื่องวิชชาธรรมกาย จึงมาปฏิบัติธรรมกับแม่ชีจันทร์ที่วัดปากน้ำ ระหว่างนั้นได้รู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ชื่อ เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ ซึ่งได้รับการชักชวนให้มาศึกษาวิชชาธรรมกายด้วยกัน เมื่อจบการศึกษา พ.ศ. 2512 ไชยบูลย์จึงตัดสินใจบวชที่วัดปากน้ำ มีฉายาว่า “ธัมมชโย” โดยพระเทพวรเวที (ช่วง วรปุญฺโญ) เป็นพระอุปัชฌาย์

พระธัมมชโยตั้งปรารถนาว่า จะสร้างความก้าวหน้าให้กับพุทธศาสนาและจะไม่สึกตลอดชีวิต ต่อมา พ.ศ. 2514 เผด็จก็บวชที่วัดปากน้ำ มีฉายาว่า “ทัตตชีโว”

พ.ศ. 2513 คุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี ได้บริจาคที่ดินที่คลองสาม ปทุมธานี 196 ไร่ เพื่อสร้างวัด ฝ่ายแม่ชีจันทร์ พระธัมมชโย และพระทัตตชีโว จึงมาตั้งเป็นสำนักสงฆ์ชื่อ “ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม” ต่อมาได้สร้างพระอุโบสถเมื่อปลาย พ.ศ. 2520 ตั้งเป็นวัดพระธรรมกาย พ.ศ. 2524 และขยายใหญ่จนเป็นวัดสำคัญ

ความสำเร็จอย่างมากของวัดพระธรรมกายเริ่มตั้งแต่การจัดพื้นที่สิ่งก่อสร้าง เช่น ลักษณะของพระอุโบสถสร้างเป็นสีขาว และจัดผังให้มีความโดดเด่น สร้างความเป็นระเบียบและสะอาดตา มีการจัดพื้นที่จำนวนมากให้เป็นเขตธรรมาวาส เป็นเขตปฏิบัติธรรมของสาธุชน เพื่อรองรับลักษณะการเป็นวัดมวลชน และตั้งใจขยายวัดให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก จึงสร้างโครงการ เช่น สร้างมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนา สร้างมหาเจดีย์ใหญ่ และสร้างภาพให้พระธัมมชโยเป็นผู้นำแห่งศรัทธา

ความก้าวหน้าของวัดเห็นได้ภายใน 10 ปี โดยเมื่อ พ.ศ. 2533 มีสถิติว่าวัดพระธรรมกายมีพระมาบวชถึง 260 รูป สามเณร 214 รูป มีเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มเวลา 441 คน พระภิกษุจะแบ่งเป็น “พระใน” คือผู้ที่ตั้งสัตยาธิษฐานว่าจะบวชไม่สึก และต้องพิสูจน์โดยทำงานอุทิศให้กับพระศาสนา ส่วนพระนอกคือพระที่มาขอบวชในขั้นต้น ซึ่งวัดพระธรรมกายก็เน้นในการคัดเลือกบุคคลที่มีการศึกษาเข้ามาบวช สร้างโครงการธรรมทายาทและการอุปสมบทหมู่ภาคฤดูร้อน เผยแพร่หลักธรรมของธรรมกายไปยังชุมนุมพุทธศาสนาตามมหาวิทยาลัย นอกจากนี้คือ เน้นการสร้างพระภิกษุที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อไปเผยแพร่หลักธรรมทั่วโลก

ความโดดเด่นของวัดพระธรรมกายที่สร้างความประทับใจอีกกรณีคือ การสร้างสัญลักษณ์ร่วม เช่น เครื่องแบบชุดขาว สัญลักษณ์ลูกแก้ว เทคนิคสมาธิ ลักษณะโบสถ์และพิธีกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ล้วนเป็น “ภาษา” เฉพาะของชาวธรรมกายที่ใช้สื่ออัตลักษณ์ร่วมของกลุ่ม เช่น การจัดกลุ่มฆราวาสที่ศรัทธาเรียกว่าเป็น “กัลยาณมิตร” ซึ่งขยายตัวโดยการชักชวนให้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิและศึกษาวิชชาธรรมกาย นอกจากนี้คือการตั้งสถานีโทรทัศน์ของตัวเองเพื่อเผยแพร่คำสอนของพระธัมมชโยและกิจกรรมของวัด

ท่ามกลางการขยายตัววัดพระธรรมกายถูกโจมตีในหลายเรื่อง ตั้งแต่คำสอนไม่เป็นแบบศาสนาพุทธกระแสหลัก โจมตีเรื่องการหาเงินบริจาคและการลงทุนของวัดเป็น “พุทธพาณิชย์” และโจมตีที่ดินของวัดพระธรรมกายที่มีกรณีพิพาทกับชาวนาเจ้าของที่ดินรอบวัดเมื่อทางวัดขอซื้อที่ดินเหล่านั้นเพื่อขยายวัด ซึ่งเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ในช่วง พ.ศ. 2528-2531 ต่อมาคือโจมตีพระธัมมชโยยักยอกที่ดินของวัดไปเป็นของตนเอง กรณีนี้มีความพยายามฟ้องให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก แต่ก็ไม่สามารถทำลายศรัทธาของสาธุชนจำนวนมากที่มีต่อวัดพระธรรมกายได้

จนสมัยเผด็จการทหารหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2557 มีความพยายามรื้อฟื้นการเล่นงานวัดพระธรรมกายอีกครั้ง กรณีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้จัดการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โอนเงินทำบุญให้พระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายเมื่อ พ.ศ. 2552 ต่อมา พ.ศ. 2556 นายศุภชัยถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงสหกรณ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงฟ้องดำเนินคดีย้อนหลังกับพระธัมมชโยในข้อหาฟอกเงินและรับของโจร ถือเป็นเรื่องการกล่าวหาเพื่อเล่นงาน เพราะความเป็นจริงเมื่อมีผู้นำเงินมาบริจาคแก่วัดโดยทั่วไป ถ้าต่อมาผู้บริจาคมีความผิดก็ไม่อาจดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสที่รับเงินได้ กรณีนี้จึงมีการวิจารณ์ว่าเป็นความพยายามไม่ให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำ ซึ่งอาวุโสสูงสุดในมหาเถรสมาคมขึ้นรับตำแหน่งพระสังฆราช

จนในที่สุดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ รัฐบาลเผด็จการก็ตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 44 รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปิดวัดพระธรรมกายเพื่อจับกุมพระธัมมชโย แต่ที่น่าตกใจคือ กระแสสังคมฝ่ายอนุรักษ์นิยมกลับแสดงท่าทีเห็นด้วยกับฝ่ายอำนาจรัฐให้ดำเนินการกับพระภิกษุและประชาชนที่สนับสนุนวัดพระธรรมกาย โดยไม่ได้พิจารณาว่าเป็นการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จตามอำเภอใจ และยิ่งเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคมไทยให้ร้าวลึกต่อไป


You must be logged in to post a comment Login