วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

หน่วยกล้าอาย

On March 1, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

วันนี้พักเรื่องวัดพระธรรมกาย เรื่องการสร้างความปรองดองไว้สักวัน เพราะมีเรื่องที่อยากชวนให้คิดว่า “มันเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?” มาให้ได้พิจารณากัน

เรื่องที่ว่าคือกรณีที่ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปกล่าวถ้อยแถลงระหว่างร่วมในพิธีเปิดการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์ซี) ที่สำนักงานสหประชาชาติ ซึ่งจัดกันที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

สิ่งที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศท่านนี้ไปพูดไว้ในที่ประชุมน่าสนใจมาก โดยมีใจความดังนี้

“ประเทศไทยยังคงยึดมั่นและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในทุกด้าน เช่น การที่รัฐบาลได้ส่งเสริมการพัฒนาตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับประชาชนและชุมชน ส่งเสริมสิทธิในการพัฒนา และรับประกันความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาส รวมถึงการเข้าถึงความยุติธรรมสำหรับทุกคน

ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญอย่างสูงกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาภายใต้โครงการเรียนฟรี 15 ปี การแก้ปัญหาบุคคลไร้สัญชาติในประเทศ

ขณะนี้ประเทศไทยที่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งได้รับการรับรองโดยการลงประชามติของประชาชน ซึ่งเน้นย้ำหลักการของสิทธิที่เท่าเทียมกัน การคุ้มครองตามกฎหมาย การไม่เลือกปฏิบัติ การห้ามการทรมาน และเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าที่รัฐบาลดำเนินการในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และจะทำอย่างดีที่สุด เพื่อพัฒนาสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศ และให้การสนับสนุนการดำเนินงานของยูเอ็นเอชอาร์ซีในการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนทั่วโลก”

นั่นคือสิ่งที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศพูดต่อที่ประชุมยูเอ็นเอชอาร์ซี

ย้อนไปที่จั่วหัวเอาไว้ในตอนต้น คือจะมาชวนให้ช่วยกันคิดว่าสิ่งที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้นี้ไปพูดไว้ในที่ประชุม ยูเอ็นเอชอาร์ซี นั้น มีอะไรที่เป็นจริงและมีอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง

ที่เป็นจริงคือการส่งเสริมการใช้ชีวิตการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทุกรัฐบาลมักนำเรื่องนี้ไปพูดในทุกเวทีที่มีการประชุมระดับนานาชาติ

อีกเรื่องที่เป็นจริงและนำไปพูดในทุกเวทีการประชุมในระดับนานาชาติคือโครงการหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า หรือ โครงการบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค

แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ก็อยู่ระดับที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศก็แสดงท่าทีมาตลอดว่าโครงการหลักประกันสุขภาพทั่วหน้าเป็นปัญหาภาระงบประมาณที่ต้องจ่ายเพิ่มทุกปี ที่ผ่านมาจึงมีข่าวมาตลอดเช่นกันว่าจะปรับเปลี่ยนใหม่เป็นหลักร่วมจ่าย จะรักษาฟรีเฉพาะประชาชนผู้ยากไร้จริงๆเท่านั้น

แม้ว่าจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนตามข่าว แต่ท่าทีของรัฐบาลก็ชัดเจนว่าอยากเปลี่ยน เพียงแต่ยังไม่มีจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะกรณีนี้กระทบคนส่วนมากและเกรงว่าจะเกิดปัญหาทางการเมืองตามมา และเชื่อว่าท้ายที่สุดไม่ว่าจะอยากปรับระบบอย่างไรก็คงไม่กล้าเปลี่ยนเพราะไม่อยากเปิดศึกหลายทาง

ประเด็นไฮไลท์ในถ้อยแถลงของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศน่าจะอยู่ที่เรื่องหลักการของสิทธิที่เท่าเทียมกัน การคุ้มครองตามกฎหมาย การไม่เลือกปฏิบัติ

หลังตัวแทนรัฐบาลไทยพูดเรื่องนี้จบ ตัวแทนชาติต่างๆที่อยู่ในที่ประชุมยูเอ็นเอชอาร์ซีคงอยากจะหัวเราะจนตกเก้าอี้ แต่ต้องรักษามารยาท ในยุคที่การสื่อสารทำได้รวดเร็ว ทุกชาติคงรู้ดีว่าสถานการณ์การบังคับใช้กฎหมายในไทยเป็นอย่างไร

ถ้าไทยยึดหลักการของสิทธิที่เท่าเทียมกัน การคุ้มครองตามกฎหมาย การไม่เลือกปฏิบัติอย่างที่พูดจริง เวลาที่มีคดีความเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง สถานทูตต่างๆ หรือองค์กรต่างประเทศที่อยู่ในไทยคงไม่ส่งตัวแทนไปร่วมสังเกตการณ์การพิจารณาคดี โดยเฉพาะการพิจารณาในศาลทหาร

ต้องขอชื่นชม นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ที่กล้าพูดต่อที่ประชุมซึ่งมีทั่วแทนจากหลายชาติทั่วโลกร่วมรับฟังเพื่อรักษาเกียรติของชาติ ทั้งที่ทุกชาติทั่วโลกต่างรับรู้ไปในทิศทางเดียวกันว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การไม่เลือกปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไร


You must be logged in to post a comment Login