- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 2 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 2 months ago
- โลกธรรมPosted 2 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
‘ทักษิณ’(อีกแล้ว)!

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
กลับมาเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอีกครั้งกรณี การเรียกเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น 16,000 ล้านบาทจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะหมดอายุความในสิ้นเดือนมีนาคมนี้
เรื่องนี้ยืดเยื้อมานาน และก่อนหน้านี้มีความพยายามจะเรียกเก็บภาษีส่วนนี้จากบุตรของดร.ทักษิณ แต่ติดที่คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่สั่งให้ยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ซึ่งในคำพิพากษาระบุชัดว่า ดร.ทักษิณ คือเจ้าของหุ้นตัวจริง จึงตีความได้ว่าดร.ทักษิณเป็นผู้มีรายได้จากการขายหุ้นทั้งหมดให้บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด จำนวน 73,000 ล้านบาท คำนวณภาษีได้ 16,000 ล้านบาทที่จะเรียกเก็บ
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าการขายหุ้นชินคอร์ป เป็นการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีกฎหมายระบุชัดว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามข้อ 2 (23) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร กรมสรรพากร
แต่ที่กระทรวงการคลังต้องนำเรื่องนี้กลับมาพิจารณาใหม่อีกรอบก่อนคดีหมดอายุความก็เพราะสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำเรื่องมาให้เรียกจัดเก็บภาษีก่อนหมดอายุความ ซึ่งสตง.ยืนยันว่าจะต้องเรียกเก็บภาษีจากบุตรของดร.ทักษิณ และชี้ว่าคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ว่าดร.ทักษิณเป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงนั้นเป็นคนละส่วนกับภาษีที่ให้เรียกเก็บจากบุตรคือ พานทองแท้ และ พินทองทา ชินวัตร เพราะกรณีนี้เป็นการเรียกเก็บภาษีจากการที่ทั้งสองคนซื้อหุ้นจากดร.ทักษิณในราคาต่ำกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์
แม้ก่อนหน้านี้กรมสรรพากรจะเคยสรุปว่าไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อ สตง.ทำหนังสือมาก็ต้องรีแอ็คชั่นขุดเรื่องกลับมาพิจารณากันใหม่อีกรอบ เพราะหากไม่ดำเนินการจะถูกฟ้องร้องฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้
ประเด็นที่ต้องพิจารณาสำหรับเรื่องนี้คือเงินภาษีที่จะเรียกเก็บนั้นได้รวมอยู่ในเงิน 46,000 ล้านบาทของดร.ทักษิณ ที่ถูกยึดตามคำสั่งศาลและได้ตกเป็นของแผ่นดินไปแล้ว หากจะเรียกเก็บซ้ำอีกต้องติดตามว่าจะพลิกแพลงกันอย่างไร เพื่อให้เก็บได้มากกว่าคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ต้องติดตามว่ากรมสรรพากรจะยังยืนยันในหลักการเดิมคือเรื่องจบไปตามคำพิพากษาของศาลแล้ว หรือว่ามีแรงกดดันใดให้ต้องเรียกเก็บภาษีอีก 16,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าจะเก็บจริงต้องมากกว่านี้เพราะต้องบวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วย
เรื่องนี้แม้จะมีคำพิพากษาชัดเจนแล้ว ทั้งกรณียึดทรัพย์ดร.ทักษิณ กรณีโอนหุ้นให้ลูกและคนอื่นๆในราคาพาร์ 1 บาท และมีกฎหมายรองรับการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ถ้าตีธงว่าต้องเอาให้ได้ก็คงสามารถดิ้นสามารถพลิกแพลงกฎหมายจนสามารถเรียกเก็บภาษีได้
Amazing Thailand มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้นได้เสมอ
You must be logged in to post a comment Login