- อย่าไปอินPosted 2 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 20 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เรียนแลกผัวแลกเมีย! / โดย สนานจิตต์ บางสพาน
คอลัมน์ : สากกะเบือยันเรือรบ
ผู้เขียน : สนานจิตต์ บางสพาน
เมื่อก่อนมหาวิทยาลัยขึ้นอยู่กับรัฐ เงินเดือนอาจารย์ ค่าวิชา ค่าเบี้ยประชุมไม่พอจะกิน สมัย สนจ. เรียน ป.กศ.สูงที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จฯยุคการเปิดภาคค่ำกำลังฮิต เพราะเป็นการหารายได้เสริมทั้งของวิทยาลัยและอาจารย์ ผลิตครูกันจนล้น ส่วนใหญ่เป็นพวกทำงานแล้วมาเรียนเพื่อเอาวุฒิการศึกษาและวิทยฐานะเพื่อเลื่อนขั้นในระบบราชการ
มายุคนี้มหาวิทยาลัยเริ่มไม่แฮปปี้กับระบบทบวง เงินน้อย เบิกยาก ของบลำบาก จึงเกิดการดิ้นออกนอกระบบ หลักสูตรปริญญาโทระยะสั้นเสียเงินเรียนเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดที่เรียกว่า mini MBA ทั้งหลาย
เช่นเดียวกับเมื่อก่อนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับบิ๊กเท่านั้นที่จะได้เรียน วปอ. ถ้าเป็นนักธุรกิจก็ต้องระดับประเทศที่มีประวัติรองรับว่าเป็นขาใหญ่ตัวจริงจึงจะได้เรียน แน่นอนเบื้องหลังต้องมีผู้มีอำนาจหนุนหลัง เมื่อที่นั่งมีน้อย คนอยากเรียนมีเยอะ ก็เปิดรูเป็น วปรอ. เอาภาคเอกชนเข้าไปร่วม เหมือนสปอร์ตคลับของเศรษฐีเก่า ชนชั้นสูง พวกบิ๊กเนมในระบบราชการ เศรษฐีใหม่ ไฮโซ ไฮซ้อ ไฮซิ้ม เจ๊กอยากเป็นผู้ดี หมดหนทางเป็นสมาชิกก็มาเปิดโปโลคลับ…ฮา
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มาว่ากันถึงหลักสูตรพิเศษ ตั้งแต่สถาบันพระปกเกล้า ภูมิพลังแผ่นดิน การเงินการคลัง การพลังงาน และยุติธรรม ฯลฯ เปิดกันเหมือนสาขาร้านสะดวกซื้อ ทุกกระทรวงเปิดกันหมด แล้วก็เหมือนเดิมคือพวกไฮโซ อดีตบิ๊กในระบบราชการที่เกษียณแล้ว และนักธุรกิจระดับชาติที่พยายามไต่เต้าและเอาเต้าไต่ต่างก็ดิ้นรนเข้าไปเรียน ทั้งที่จริงเรียกว่าอบรมมากกว่า
ระดับ “ไอ้โน่” หรือ “นีโน่” เพื่อนรุ่นน้อง สนจ. ยังได้เรียน แต่ไอ้โน่มันเป็นผู้พิพากษาสมทบคดีเด็กมาก่อน เรื่องนี้ในแวดวงสื่อรู้ดี สื่อสายข่าวสังคมรุ่นน้อง “เจ๊ป้อม-คัทลียา” ก็มีโอกาสเข้าไปอบรม
เป็นธรรมดาที่ไหนคนเยอะ ที่นั่นเรื่องนินทาก็แยะ นินทากันมันปากว่าก็แค่ “สังคมแลกเปลี่ยนผัวเมีย” ใครม่ายก็อาจได้ผัวใหม่ เมียใหม่ ใครทำธุรกิจก็จะได้รู้จักกันไว้ มีอะไรมาก็คนเห็นหน้ากัน เคยเรียนด้วยกัน มีอะไรพอช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป
สังคมอุปถัมภ์แบบไทยๆมันเลยฝังรากลึกแบบ “เชื้อชั่วไม่ยอมตาย”
เพราะฉะนั้นข่าวสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักตรวจราชการ ดิ้นพราดๆแถลงเรื่องไปดูงานที่ยูนิเวอร์แซล สิงคโปร์นั้น จะแถลงไปทำไม ในแง่กฎระเบียบทำถูกต้องเป๊ะแน่ ข้ออ้างไปดูต้นแบบเพื่อการท่องเที่ยวก็อ้างไปเหอะ อ้างอีกก็ถูกอีก ขนาดอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังเดินทางไปดูบอลพรีเมียร์ลีกถึงอังกฤษเพื่อเอามาปรับปรุงการแข่งฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์
ห่านเอ๊ย…เอาสามัญสำนึกและตรรกะพื้นๆแบบคนเรียนมาน้อยแต่ไม่ได้กินแกลบที่ไหนก็ได้ว่า มันเป็นเหตุเป็นผลและฟังขึ้นซะที่ไหน ก็แค่ “ข้ออ้าง” แบบหน้าด้านไร้ยางอายและจิตสำนึกว่ากำลังผลาญภาษีประชาชนหรือไม่ ตั้งกติกาของบประจำปี ถ้าใช้ไม่หมดภายใน 30 กันยายนต้องคืนคลัง พอใกล้ 30 กันยายนก็ต้องหาเหตุไปดูงานเมืองนอกกันให้จ้าละหวั่นโกลาหลอลหม่าน
เรื่องเอี้ยสามัญประจำบ้านจากองค์กรอิสระ หน่วยงานของรัฐ เรื่องหลักสูตรพิเศษและงบเดินทางไปดูงานต่างประเทศก็จะคงเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
นี่ไงผลงานการปฏิรูปประเทศ มันต่างอะไรจากการเหมาเครื่องบินไปฮาวายที่เป็นข่าวฮือฮา
เอาเหอะ อยากทำอะไรทำ
ไงละสื่อเลือกข้างเอา “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” เอา คสช. ไม่เอาระบบเลือกตั้งและพรรคการเมืองยันนักการเมือง ก็ได้อย่างใจแล้ว คสช. และระบบรัฏฐาธิปัตย์ เขาจะทำอะไร ทำเขาได้ไหมล่ะ ด่ายังไม่กล้าเลย…5555555
You must be logged in to post a comment Login