- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 2 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 2 months ago
- โลกธรรมPosted 2 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 2 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 2 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 2 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 2 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 2 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 2 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 2 months ago
ทำลายความเชื่อมั่น

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
การเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปจาก ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังมีอะไรดีๆให้ได้ติดตามอีกมาก และจะมีความชัดเจนภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ยืนยันว่าการทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการจะต้องยึดตามกรอบของกฎหมาย แต่ไม่ได้บอกว่าตามกรอบกฎหมายใด
เป็นกรอบกฎหมายเดิมที่เคยพิจารณากันไว้แล้วว่าไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้ หรือว่ากรอบกฎหมายอื่นที่ไปหาช่องกันมา ที่บางคนยกว่าเป็น “อภินิหาร” กฎหมายที่คลำหาช่องกันจนเจอ
หากฟังจากปากของมือกฎหมายรัฐบาลอย่าง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็ชัดเจนว่าจะมีการเรียกเก็บภาษีอย่างแน่นอน หากไม่จ่ายก็ต้องมีค่าปรับไปเรื่อยๆ เพราะอายุความจะถูกเริ่มต้นนับหนึ่งไปอีก 10 ปี พร้อมยืนยันว่าเงินก้อนนี้เป็นคนละส่วนกับ 46,000 ล้านบาทที่ถูกยึดไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการครั้งนี้ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องไปเสี่ยงวัดดวงกันเอาเองหากถูกดร.ทักษิณ ฟ้องกลับ เพราะรัฐบาลจะไม่ใช้มาตรา 44 คุ้มครองการทำงานเหมือนกลุ่มที่ทำหน้าที่เอาผิดคดีจำนำข้าว
เจ้าหน้าที่สรรพากรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปก่อนวันที่ 31 มีนาคมนี้ เพราะแม้แต่มือกฎหมายของรัฐบาลยังยอมรับว่ามีความเสี่ยงอยู่พอสมควร แต่ก็พอมีช่องให้มองเห็นความสำเร็จที่จะดำเนินการได้ โดยจะเป็นการเรียกเก็บภาษีจากส่วนต่างราคาหุ้นที่รับมาในราคา 1 บาท ขายออกไปในราคาหุ้นละ 49 บาท
แม้จะมีข้อกฎหมายระบุว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่มีเทคนิคที่ยังไม่เปิดเผยที่สามารถเอาไว้ไปพูดในศาลเพื่อให้ศาลเห็นว่าต้องเสียภาษีได้กรณีต้องฟ้องกันเป็นคดีในชั้นศาล
เรื่องข้อกฎหมายจึงยังดิ้นได้
ขณะที่ นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีคำพิพากษาซึ่งสรุปความตอนหนึ่งได้ว่าหุ้นในชินคอร์ปจำนวนดังกล่าวที่รวมขายให้กลุ่มเทมาเส็กในปี 2549 นั้น ดร.ทักษิณ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ บุคคลอื่นๆเป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทน ไม่ใช่เจ้าของหุ้น
การขายหุ้นดังกล่าวให้กลุ่มเทมาเส็กได้ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ได้ขายนอกตลาด
ตามกฎหมายไทย เงินได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 23 ที่ออกตามประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวนี้ใช้มานานแล้ว และใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น
ดังนั้น การขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็อยู่ภายใต้กฎกระทรวงฉบับเดียวกันนี้ ตราบใดที่ไม่มีการแก้ไข
นอกจากเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดจะได้รับยกเว้นภาษีแล้ว เงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปและเงินปันผลจากหุ้นประมาณ 46,000 ล้านบาทถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว
“ประเด็นไม่ใช่เรื่องอายุความว่าจะขาดหรือไม่ แต่ประเด็นหลักคือการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้รับยกเว้นภาษีตามกฎหมาย ดังนั้น จึงไม่เข้าใจว่าจะมีการประเมินภาษีบนพื้นฐานข้อกฎหมายใด หวังว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติหน้าที่โดยชอบและดำเนินการเรื่องนี้ตามกฎหมายและหลักนิติธรรม และยึดหลักความเท่าเทียมเสมอภาคกับทุกคน”
ฝ่ายหนึ่งบอกว่ากฎหมายเขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องเสีย ฝ่ายหนึ่งบอกว่ายังมีข้ออ้างที่จะพูดในชั้นศาลเพื่อให้ศาลตีความเป็นอย่างอื่นได้ และขอว่าอย่าด่วนสรุปว่าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี
เรื่องนี้ต้องรอดูตอนจบ หากกฎหมายดิ้นได้ ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต้องเสียภาษี คงไม่ใช่แค่ ดร.ทักษิณ แต่ใครก็ตามที่ซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้หรือที่จะซื้อขายกันในอนาคตคงต้องร้อนๆหนาวๆไปตามๆกัน ที่สำคัญความดิ้นได้ของกฎหมายจะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนลงอย่างสิ้นเชิง
You must be logged in to post a comment Login