วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ขยายจุดอ่อน

On May 19, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

ยิ่งใกล้วันครบรอบ 3 ปีของการยึดอำนาจบริหารบ้านเมืองมาไว้ในมือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากขึ้นเท่าไหร่ แม้ คสช.และรัฐบาลจะไม่ตั้งโต๊ะแถลงผลงานอย่างเป็นทางการ

แต่ทุกครั้งที่มีผู้มีอำนาจในรัฐบาลหรือ คสช.ออกมาพูดถึงผลงาน ทุกคนจะพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า “ความสงบเรียบร้อย” คือผลงานเด่นที่ทำมาตลอด 3 ปี

“ยืนยันว่า 3 ปีของ คสช. ไม่มีอะไรเสียของแน่นอน เพราะเราทำให้ 3 ปีของประชาชนมีความสุข ความสงบ นี่คือของที่มีคุณค่า ได้ทวงคืนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกนำไปเป็นของส่วนตัวกลับคืนมา มากกว่า 3.5 แสนไร่ ทวงคืนแม่น้ำลำคลอง พื้นที่ที่ดินสาธารณะ จัดสรรที่ทำกินให้กับประชาชน จัดระเบียบสังคม การจราจร การจับกุมอาวุธสงคราม ยาเสพติดรวมถึงความคืบหน้าคดี ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน ข้อร้องเรียนของประชาชนหลายหมื่นเรื่อง ที่ผ่านศูนย์ดำรงธรรมก็ได้รับการแก้ไข แต่ยอมรับอีกว่าสิ่งที่ รัฐบาลและ คสช.ได้รับการท้วงติง คือเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งเราก็ไม่ได้เพิกเฉย”

เป็นคำกล่าวของ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช.ที่กล่าวที่กองทัพบกเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา

จากคำกล่าวนี้ดูเหมือนคสช.และรัฐบาลรู้จุดอ่อนของตัวเองว่าอ่อนเรื่องเศรษฐกิจ และจุดอ่อนนี้กำลังถูกนำมาโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆจนบดบังผลงานโบว์แดงเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยจนแทบไม่มีใครสนใจผลงานที่ คสช.และรัฐบาลภาคภูมิใจ แถมระยะหลังเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้รุนแรงขึ้น มีเสียงตูมตามของระเบิดในเมืองหลวง ยิ่งทำให้ผลงานชิ้นโบว์แดงลดความสำคัญในสายตาประชาชนลงเป็นลำดับ

ส่วนจุดอ่อนที่คสช.และรัฐบาลรู้ตัวดีอย่างปัญหาเศรษฐกิจนั้นดูเหมือนว่าแผลนี้กำลังถูกเขี่ยขยายให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โชว์ตัวเลขการจัดเก็บภาษีตั้งแต่คสช.เข้ามายึดอำนาจลดลงเรื่อยๆ ทั้งในส่วนของรายได้จากการจัดเก็บภาษี และอัตราการเติบโตการจัดเก็บภาษี การจัดเก็ยภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นเครื่องชี้วัดกำลังซื้อของประชาชนก็ลดลง อัตราขยายตัวการส่งออกหยุดชะงัก มูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนและการลงทุนใหม่ตกต่ำ จำนวนเงินคงคลังลดลง

ตัวเลขทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตกต่ำทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

ส่วนสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบันคืองบประมาณและการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น งบประมาณของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การเพิ่มขึ้นของตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมยินดี

จากการจัดเก็บรายได้ที่ลดต่ำกว่าเป้าทำให้มีข่าวออกมาตลอดก่อนหน้านี้ว่ารัฐบาลจะเพิ่มการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากประชาชนอีก 1% แต่เมื่อเรื่องนี้เป็นข่าวคนในรัฐบาลก็จะออกมาปฏิเสธตลอดว่าไม่เป็นความจริง

อย่างไรก็ตามเรื่องการเพิ่มจัดเก็บภาษีมูลเพิ่มเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาให้ความเห็นชอบรายงานเรื่องแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและระบบบริหารจัดเก็บเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน ซึ่งจัดทำโดยคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สนช.

เนื้อหาที่ กมธ.เสนอนั้นมีหลากหลายแต่หลักใหญ่ใจความคือให้เพิ่มการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากประชาชนอีก 1% และควรพิจารณาจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้หลากหลายไม่ควรกำหนดตายตัวเท่ากันในทุกสินค้าและบริหาร

แต่เพื่อไม่ให้ถูกต่อต้านและคัดค้านจากประชาชนมากเกินไป กมธ.เสนอให้นำเงินจากการจะดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1% นั้นไปใช้จ่ายเฉพาะด้านเกี่ยวกับการสาธารณสุขเท่านั้น นัยว่าเอาเงินประชาชนมาเพิ่มการดูแลสุขภาพประชาชน

เมื่อมีแนวคิดเพิ่มการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะเป็นการเพิ่มรายได้ภาครัฐทางตรงอย่างง่ายที่สุดเห็นผลทันตาที่สุด

ก็ต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลว่าเมื่อหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายที่มาร่วมกันปฏิรูปประเทศชงเรื่องอย่างเป็นทางการแล้วรัฐบาลจะกล้ารับลูกหรือไม่

หากเด้งรับไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดจะเป็นการตอกย้ำจุดอ่อนด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด


You must be logged in to post a comment Login