- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
หมดความเชื่อมั่น
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
ประเทศนี้มีหลายเรื่องผิดปรกติ
การหายตัวไปของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตามข่าวบอกว่าป่วย แต่อาการป่วยของรองนายกฯกลับเป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ประชาชนรู้ได้
ปิดลับทั้งโรคที่เป็น ปิดลับทั้งสถานที่ที่ใช้ในการรักษาพยาบาล ปิดลับทั้งระยะเวลาในการรักษาตัวว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เมื่อไหร่จึงกลับมาทำงานได้ตามปรกติ
แม้ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ถือเป็นเรื่องไม่ปรกติของบุคคลสาธารณะระดับรองนายกรัฐมนตรีที่มีบทบาทสูงที่สุดในรัฐบาล
เหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าก็เข้าข่ายไม่ปรกติ เมื่อมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเปิดเผยว่าได้จดหมายเตือนจากโจรกลับใจก่อนเกิดเหตุ จึงทำให้เกิดคำถามว่าเมื่อได้จดหมายเตือนแล้วทำไมจึงปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นได้ ทำไมไม่เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ทำไมยังปล่อยให้กล้องวงจรปิดบางตัวใช้งานไม่ได้
ที่สำคัญจากที่เคยสันนิษฐานว่าเป็นระเบิดการเมือง ทำเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลมีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดก่อนหน้านี้ ที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเก่า ถนนราชดำเนิน กับหน้าโรงละครแห่งชาติ และเชื่อมโยงไปถึงเหตุระเบิดในปี 2550 ช่วงการบริหารประเทศของรัฐบาลรัฐประหารชุด “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
แต่ล่าสุดกลับปรากฏข่าวว่าจดหมายเตือนที่ได้รับอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มบีอาร์เอ็นซึ่งเป็นกลุ่มโจรก่อการร้ายทางภาคใต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจน
กรณีนี้ หากเป็นฝีมือของกลุ่มบีอาร์เอ็นจะกลายเป็นคนละเรื่องกับระเบิดการเมืองที่พูดกันทุกครั้งหลังเกิดเหตุร้าย โดยพยายามโยงไปถึงคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
ไม่ว่าเหตุระเบิดจะเป็นฝีมือของกลุ่มไหน ทำเพื่อหวังผลอะไร แต่ขณะนี้ความวิตกกังวลได้ขยายไปทั่วแล้ว ดังจะเห็นได้จากข่าวเรียกเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบวัตถุต้องสงสัยในหลายพื้นที่
ความหวั่นไหวไม่ได้เกิดแต่เฉพาะในหมู่ประชาชน
แม้แต่ในศูนย์กลางอำนาจอย่างทำเนียบรัฐบาลก็ยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น โดยมีการนำทหารรบพิเศษ จากกรมรบพิเศษ ที่ 3 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ลพบุรี เข้ามาเสริมกำลังดูแลทำเนียบรัฐบาล ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีทหารรบพิเศษ 1 หมวด ประจำการดูแลพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่แล้วตั้งแต่รัฐประหารยึดอำนาจกลางปี 2557
การยกระดับรักษาความปลอดภัย เพิ่มกำลังรบพิเศษเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล แม้จะเป็นการทำเพื่อป้องกัน แต่ก็ส่งสัญญาณด้านลบให้ประชาชนเพิ่มความหวั่นไหว เพิ่มน้ำหนักความไม่ปรกติในบ้านเมือง
สัญญาณลบด้านความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เมื่อบวกเข้ากับสัญญาณลบที่ว่าหากบ้านเมืองยังไม่สงบก็จำเป็นต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากกำหนดเดิม
ยิ่งทำให้ความไม่มั่นใจขยายออกไปวงกว้างมากขึ้น
สัญญาณแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ไม่เพียงทำให้คนในประเทศขาดความเชื่อมั่น นักลงทุน นักท่องเที่ยวต่างชาติก็พลอยขาดความเชื่อมั่นไปด้วย
เมื่อไม่เหลือความเชื่อมั่นจะมีผลกระทบอะไรตามมาคงไม่ต้องอธิบาย
You must be logged in to post a comment Login