วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ถ้า‘ปู’ยังอยู่จะเจริญอย่างไร? / โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

On May 25, 2017

คอลัมน์ : โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

คนเราต้องมองอะไรในแง่ดีไว้บ้าง ถ้าวันนี้ “นายกฯปู” ยังอยู่ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องทุจริตจะเป็นจริงหรือไม่ก็สุดปัญญายืนยัน แต่ผ่านมา 3 ปี เมืองไทยหากยังเป็น “รัฐบาลปู” จะเป็นอย่างไร?

ประการแรก ที่เห็นได้ชัดคือ โครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะสร้างเชื่อมกับยูนนาน ลาว อีสาน และกรุงเทพฯ คงจะเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้น เพราะก่อนมีรัฐประหาร รัฐมนตรีชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่เป็นรัฐมนตรี “ทรงพลังที่สุดในโลก” เตรียมทำโครงการต่างๆอย่างขะมักเขม้น โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บ้านจัดสรร หรืออะไรต่อมิอะไรที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องก็คงจะตามมา ซึ่งไม่เกิน 2 ปีนับจากวันนี้เราอาจได้ใช้รถไฟความเร็วสูงกันแล้ว ประเทศก็คงอยู่ในภาวะ High Hope

พอไม่มีรถไฟความเร็วสูงก็ปรากฏว่าโครงการพัฒนาเกี่ยวเนื่องต่างๆพากันหดตัวไปหมด เช่น อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บริษัทมหาชนและบริษัท “มหานาค” ทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯและบริษัทใน “ตลาดหลักสี่” ต่างก็ซูบไปหมด บมจ.แอล.พี.เอ็น.ฯ เจ้าตลาดห้องชุดระดับล่างยังเหนื่อย แต่ยังดีที่มีการบริหารชุมชนที่ดี มีลูกค้าเหนียวแน่น แสนสิริก็ประกาศหยุดโครงการที่โคราช ยังไม่รวมโครงการรายย่อยอื่นๆที่เป็น SMEs ที่ประสบปัญหาการขาย เรียกว่าห้วงปี 2558-2559 การเปิดโครงการใหม่ๆอยู่ในภาวะที่แผ่วเบาจริงๆ เพราะอุปทานเก่ายังขายไม่ได้

ประการที่สอง ชาวนาในต่างจังหวัดคงมีความสุข แม้ราคาข้าวที่ประกัน 15,000 บาทต่อเกวียน จะลดเหลือ 13,000 บาท หรืออาจลดเหลือ 10,000 บาท ก็ยังมากกว่าราคาข้าวปจจุบันที่เหลือเพียง 7,500 บาทตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจชนบทซบเซาอย่างมาก ชาวบ้านค่อนประเทศในชนบทหมดความสุข หรือความสุขไม่ได้กลับคืนมาดังในยุคปู

สิ่งที่ตามมาคือ แม้แต่ร้านสะดวกซื้อชื่อดังในต่างจังหวัดก็ไปต่อไม่ไหว บางร้านถึงกับปิด บางร้านมี “หน้าเสื่อ” รับไปทำแทน หรือ “ส่งไม้ต่อ” ให้บริษัทแม่ทำแทน ภาวะแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในยุครัฐบาลปู ปัจจุบันชนบทค่อนข้างวังเวง กลุ่มที่เติบโตคือข้าราชการที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนแทบทุกหมู่เหล่าเป็นระลอก กลายเป็นว่าชาวบ้านกินน้ำใต้ศอกพวกข้าราชการ

ประการที่สาม การใช้จ่ายเงินจะมีประสิทธิภาพ เพราะสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลปูคงไม่กล้าฝืนกระแสสังคมซื้อเรือดำน้ำแน่ การใช้งบประมาณผูกพันซื้อเรือดำน้ำถึง 45,000 ล้านบาทก็คงไม่เกิดขึ้น ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาประเทศด้านอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสาธารณูปโภค จัดสวัสดิการสังคม หรือพัฒนาการศึกษา ฯลฯ

ประการที่สี่ การค้าระหว่างประเทศจะมีมากขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสามารถค้าขายได้มากกว่าปีปัจจุบัน อาจขายยางได้มากขึ้น แม้วันนี้ราคายางจะดีขึ้นจาก “สามโลร้อย” เป็นกิโลกรัมละ 80-90 บาทมาพักหนึ่ง แต่ปรากฏว่ามาเลเซียสามารถขายยางได้ราคาที่แพงกว่าไทย ถ้ารัฐบาลปูยังอยู่คงสามารถส่งรัฐมนตรีไปค้าขายได้มากกว่านี้ และได้รับการต้อนรับมากกว่านี้

ในทางตรงกันข้าม เราอาจดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่นายแจ็ค หม่า หนีไทยไปมาเลเซียอาจไม่เกิดขึ้น หรืออาจมีนักลงทุนใหม่ๆมาลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะบรรยากาศทางการเมืองดี (ยกเว้นจะมีการสร้างสถานการณ์ “Shut Down” แบบ “กวนน้ำให้ขุ่น”) เศรษฐกิจก็ย่อม “ไปโลด” มากขึ้น

ผมฝันว่า ถ้าเมื่อ 3 ปีก่อนตอน “แก๊งกวนเมือง” ประกาศปิดกรุงเทพฯจนบอบช้ำไปทั่ว จะทำพาสปอร์ตต้องไปตั้งแต่ตีสอง ฯลฯ ผบ.ทบ.สมัยนั้นประกาศกฎอัยการศึกให้ทุกคนหยุดชุมนุมเพื่อให้รัฐบาลปูทำงานต่อ (ส่วนข้อกล่าวหาทุจริตก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมปรกติที่ไม่ถูกอำนาจปืนควบคุม) ป่านนี้ประเทศไทยคงเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” ไปแล้ว

แต่ความจริงวันนี้ประเทศไทยและประชาชนไทยยากจนลง ขาดอิสรภาพทางการเงิน ต้อง “กินน้ำใต้ศอก” ข้าราชการ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมประชาชนด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจก็ได้ แต่ทำให้ประเทศอยู่ในภาวะถดถอย ยิ่งกว่านั้นการทุจริตแม้ไม่มีนักการเมืองมา 3 ปีก็ยังไม่มีแนวโน้มจะลดลงแต่อย่างไร

ดังนั้น ชาวไทยผู้รักชาติทุกคนจึงต้องช่วยกันประคับประคองประเทศให้ดีขึ้นให้ได้นะครับ


You must be logged in to post a comment Login