วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มิจฉาทิฏฐิ / โดย พระพยอม กัลยาโณ

On June 9, 2017

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

ที่บอกว่าคนเรา “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” นั้น เวลานี้มี 2 คดีที่มีลักษณะคล้ายๆกับคำที่ว่า ถ้ากรรมยังไม่ส่งผลกรรมขณะทำ ก็จะจองหองพองขน ไม่เกรงกลัวบาปกลัวกรรมอะไร 2 คดีที่ว่าคือคดีฆ่าสามเณรปลื้มและคดีเปรี้ยวฆ่าหั่นศพ ทั้ง 2 คดี ตอนทำบาปยังไม่เห็นโทษเห็นกรรม เหมือนผลไม้บาปนี่ยอดมันหวาน แต่ตอนเก็บผลมากินจึงรู้ว่ามันเป็นพิษร้ายถึงตายหรือเจียนตาย

เขาจึงเปรียบบาปมันอย่างนั้น หากยังไม่ให้ผลกรรมก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ผลเห็นพิษจึงจะรู้สึก แต่บางคนก็พยายามบอกว่าบาปกรรมไม่มีจริงหรอก ทั้งที่มีคนเตือนว่าอย่าไปทำเลย

อย่างวัดกับศาสนาที่ไม่เชื่อเรื่องบาปเรื่องกรรม ถ้าเชื่อว่าก็คงไม่ย่ามใจทำได้ขนาดนี้ คดีเปรี้ยวก็เหมือนกัน ตอนนั้นคงคิดว่าชีวิตมันมันก็ต้องเป็นไปอย่างนี้แหละ กิน เที่ยว เล่น สูบบุหรี่ เมาเหล้าเมายาอะไรต่างๆ ยังไม่รู้หรอกว่าจะทำไปได้ถึงขนาดไหน

คนเราถ้าเงินหมุนเวียนในบัญชี มีจ่ายมีใช้แค่ไม่รู้ว่าทำงานอะไร อย่างอธิบดี หรือผู้ว่าฯ จะมีเงินเดือนละเป็นล้านๆได้หรือไม่ อย่างนี้มันก็ต้องมีเรื่องของเงินบาปเข้าไปพัวพันแน่นอน

จึงบอกว่าคนพวกนี้จะไม่มีคำว่า “น้ำตาหลั่ง” ไม่มีคำว่า“ร้องไห้” ขณะที่บาปยังไม่ให้โทษ จะมีแต่ความฮึกเหิม คึกคะนอง ย่ามใจ ไม่เกรงกลัวอะไร ไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น คิดว่าบาปกรรมไม่มีจริง คนที่เชื่ออย่างนี้ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “มิจฉาทิฏฐิ” พวกเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี เห็นการกระทำบาปกรรมเป็นดอกบัว ทั้งๆที่มันกำลังปั่นหัวเป็นกงจักร

เพราะฉะนั้นใครที่เห็น 2 ข่าวนี้ จะมีกี่ฆาตกรก็ตาม ต้องนำมาเป็นบทเรียน ต้องจดจำและน้อมนำเอามาปรับปรุงชีวิต อย่าให้ผิดพลาดเหมือนที่เห็น เอาเรื่องนี้มาเป็นบทเรียน เตือนใจ สอนใจ ไม่ให้ผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำ กระทำแบบเขา แล้วชีวิตก็จะปลอดภัย กรรมก็ไม่ท่วมสมองท่วมหัว ไม่ติดตามต่อเนื่อง

ถ้าคดีฆ่าสามเณรมีการขุดคุ้ยแล้วเจออีก 1-2 ศพ ยิ่งจบเห่ คงตายคาคุก หรือคดีฆ่าหั่นศพก็เหมือนกัน ถ้าสมมติว่าเกิดไปพัวพันกับยาเสพติดระดับใหญ่อีก ก็แน่นอนว่าไม่มีรอด จบสิ้นกันไปหมด

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login