- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
โหราศาสตร์-ความเชื่อ-Butterfly Effect ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงอาณาจักร / โดย เรืองยศ จันทรคีรี
คอลัมน์ : กรีดกระบี่บนสายธาร
ผู้เขียน : เรืองยศ จันทรคีรี
จริงๆแล้วผมเคยศึกษาโหราศาสตร์มานานหลายปี และเคยตั้งใจจะเอาเรื่องโหราศาสตร์มาวิเคราะห์เป็นเงื่อนไขหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย โดยส่วนตัวแล้วคงไม่พูดโอ้อวดว่าแม่นหรือไม่แม่น เพราะคงไปเทียบชั้นบรรดาหมอดูอาชีพหรือนักพยากรณ์ที่โด่งดังในโลกโซเชียลมีเดียไม่ได้ แต่พอบอกใบ้ได้นิดหน่อยว่ามีโอกาสพยากรณ์ให้กับคนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้มาแล้วถึง 3 คน จะฉมังหรือไม่ก็ต้องไปไถ่ถามท่านเหล่านั้นเอาเอง
มาเริ่มคำถามแรกว่าโหราศาสตร์คืออะไร อาจนิยามว่าเป็นศาสตร์หมอดูชนิดหนึ่ง ความหมายตามภาษาบาลีแปลว่า “ศาสตร์ว่าด้วยเวลา” เป็นความเชื่อว่าชีวิตมนุษย์และสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการโคจรของดวงดาว
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสสนทนากับ ดร.ณัฐวุธ วัชรกุลดิลก เกี่ยวกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ว่าด้วยคณิตศาสตร์ชั้นสูงและเรื่องทางฟิสิกส์ชื่อ “How Not to Be Wrong” เขียนโดย Jordan Ellenberg ที่น่าสนใจเพราะโลกฟิสิกส์ยุคใหม่ซึ่งผ่านพ้นฟิสิกส์แบบเก่าของเซอร์ไอแซก นิวตัน ที่เรียกว่า Quantum Physics พบว่าการเคลื่อนไหวในระดับที่ต่ำกว่าอะตอมขัดกับกฎทางฟิสิกส์แบบเก่าคือ แม้แต่สิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นคลื่นพลังงานก็สามารถตรวจจับได้โดยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นช่องว่างของอะตอมก็สามารถเกิดพลังงานได้ อนุภาคที่เล็กลงไปนี้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เรียกว่า Quark บางคนจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าบรรดาแรงดึงดูดและการโคจรของดวงดาวอาจสามารถส่งคลื่นที่เป็น Quark เข้ามาปฏิสัมพันธ์กับธาตุในชีวิตของมนุษย์ได้ ดังนั้น ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่มีผลต่อสรรพชีวิตอาจกล่าวเป็นภาษาปรัชญาได้ว่า “ฟากฟ้าเบื้องบนเป็นเช่นไร สรรพชีวิตเบื้องล่างก็เป็นไปเช่นนั้น”
ความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาจยกตัวอย่างเหตุการณ์สมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่เกิดกบฏมักกะสัน กบฏเหล่านี้นับถือศาสนาอิสลามที่มาจากเกาะสุลาเวสี เมืองมากัสซาร์ ในอินโดนีเซีย จึงเรียกว่ากบฏมักกะสัน
สมัยนั้นทางราชสำนักใช้พวกแขกจากเปอร์เซีย อินโดนีเซีย จามปา มารับราชการเป็นขุนนางและทหารอาสา แต่หลังจากพระนารายณ์หันไปใช้ขุนนางฝรั่งที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์คือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เป็นชาติกรีก นามเดิมคอนสแตนติน ฟอลคอน พวกขุนนางที่นับถือศาสนาอิสลามรู้สึกสูญเสียอำนาจ และขณะนั้นเกิดปรากฏการณ์ดาวบนท้องฟ้า 7 ดวง พวกขุนนางที่สูญเสียอำนาจจึงใช้ปลุกระดมว่าต้องต่อสู้กับพวกฝรั่ง มิฉะนั้นฝ่ายอิสลามจะสูญเสีย
ปรากฏการณ์ต่างๆของดวงดาวและประวัติศาสตร์ไทยจะเป็นเหตุผลหรือความเชื่อก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ ดังกรณีที่เกิดขึ้นใน พ.ศ. 1202 เกิดปรากฏการณ์สุริยคราสรูปแหวนเพชร ซึ่งตามตำนานของตำบลเลม็ด อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระบุว่า เป็นวันที่กษัตริย์ 2 พี่น้องคือ มหาจักรพรรดิพ่อหะนิมิต และพระอนุชาคือจักรพรรดิศรีไชยนาท ได้อภิเษกเป็นกษัตริย์ที่เรารู้จักในนามอาณาจักรศรีวิชัย
เสนีย์อนุชิต ถาวรเศรษฐ ได้เปิดประเด็นความรู้เรื่องดาราศาสตร์ฟิสิกส์จนสามารถระบุได้ว่าอาณาจักรศรีวิชัยก่อตั้งเมื่อมีสุริยคราสรูปแหวนเพชรวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 1202 ซึ่ง ดร.ณัฐวุธได้ตรวจสอบการเกิดสุริยคราสย้อนหลังระหว่าง พ.ศ. 1305-1409 พบว่าเกิดสุริยคราสถึง 5 ครั้ง และเป็นแบบเต็มดวง 3 ครั้ง สำหรับการเกิดคราสอาจอธิบายถึงอิทธิพลและเหตุผลยากมาก แต่มีหลายอย่าง เช่น การล่มสลายของเมืองไชยาซึ่งเป็นอาณาจักรศรีวิชัย รวมทั้งการล่มสลายของนครธม นครวัด หรืออาจรวมถึงเมืองมเหนทรบรรพต ซึ่งเป็นรัฐเครือญาติทั้งศรีวิชัย ละโว้ นครศรีธรรมราช
ทั้งหมดเป็นมุมมองว่าเป็น Butterfly Effect หรือเปล่า??? ที่ทำให้ราชวงศ์อู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาครองอำนาจ รวมทั้งการเริ่มต้นของราชวงศ์พระร่วงในสมัยสุโขทัย ขณะเดียวกันเสียมหลอที่ไชยาก็สิ้นสุดอำนาจของมหาจักรพรรดิพ่อพระร่วง ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางรายเชื่อว่าเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายที่มีนามว่าพระร่วงแห่งเสียมหลอไชยา คือบุคคลที่มาตั้งฐานเตรียมกู้ชาติที่กรุงสุโขทัย จึงเป็นคำถามว่าเพราะเหตุผลของสุริยคราส 5 ครั้งใช่หรือไม่ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งของราชวงศ์และอาณาจักรในประวัติศาสตร์ไทย
ต้นปีที่ผ่านมาได้เกิดสุริยคราสเมื่อวันที่ 6 มีนาคม และเกิดดาวมฤตยูทับดวงเมืองในราศีเมษ 2 เหตุผลนี้ทำให้นักพยากรณ์หลายคนเห็นว่าประเทศไทยต้องเกิดการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่นักพยากรณ์บางคนเห็นว่า ดาวมฤตยู (0) ไม่ได้หมายความถึงการสิ้นสุดหรือความตายเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และนวัตกรรม ซึ่งดาวมฤตยู (0) เคยเข้ามาทับลัคนาดวงเมืองครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2475
ผมออกตัวตั้งแต่แรกว่าไม่ใช่โหรอาชีพ จึงไม่กล้าฟันธงอะไร แต่สะกิดใจข้อคิดเรื่อง Butterfly Effect ของ ดร.ณัฐวุธ และพบว่าปีนี้มีอิทธิพลทั้งดาวเสาร์และดาวพฤหัสบดี ซึ่งดูแล้วดวงบ้านเมืองไทยน่าจะเหนื่อยมาก
ประเด็นที่อยากจะเชื่อมโยงและตั้งเป็นคำถามมากคือ การเกิดสุริยคราสวันที่ 26 มีนาคม 2562 ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว ตอนนั้นใครเป็นรัฐบาลและมีอำนาจก็ลองคิดถึงสุริยคราสวันที่ 26 มีนาคมเอาเอง ผมได้แต่หวังว่าจะไม่เกิด Butterfly Effect เหมือนประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา
You must be logged in to post a comment Login