- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ยุคเกลื่อนกลาดศาสดา / โดย พระพยอม กัลยาโณ
คอลัมน์ : พระพยอมวันนี้
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ
พูดถึงเรื่องศรัทธาของคน ใครทำกิจกรรมอะไรแปลกๆ โปรโมตอะไรขึ้นมามากๆ ก็จะเกิดกระแสนิยม ศาสนาเรียกว่าศรัทธา ซึ่งต้องสัมปยุตด้วยปัญญา ศรัทธาต้องขึ้นให้ได้ระดับ 3 ช่วงแรกๆอาจเป็น “ศรัทธาเลื่อนลอย” คล้อยตามที่เขาชักชวน
“ศรัทธาเลื่อนเปื้อน” เขาชวนแล้วตัวเองไม่ได้ใช้วิจารณญาณ เลยทำอะไรเลอะเลือนเลื่อนเปื้อนไปกับเขาด้วย ศรัทธาแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เขาชวนทำบุญอะไรทำหมด แต่ไม่ดูว่าคุ้มค่าเหนื่อยค่าบริจาคหรือเปล่า เขาถึงบอกทำบุญเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
สุดท้าย “ศรัทธาเลื่อนระดับ” อันนี้สำคัญมาก พระพุทธเจ้าศรัทธาต่อพระโพธิญาณ ทีแรกอาจอาศัยครูบาอาจารย์ ปัญญาอาจารย์ จะเป็นอุทกดาบสหรืออาฬารดาบส เมื่อเห็นว่าไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ละจากอาจารย์ไป แสวงหาเพิ่มเติมด้วยตัวเอง จนในที่สุดก็ตรัสรู้ เพราะไม่มัวบริโภคปัญญาอาจารย์เพียงผู้เดียว
เดี๋ยวนี้มักมีอาจารย์โน้นอาจารย์นี้ชวนทำกิจกรรมอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อให้คนเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งมีมาทุกยุคสมัย พระพรหมคุณาภรณ์หรือพระพุทธโฆษาจารย์ท่านกล่าวว่า เป็นคนถ้าหากมัวศรัทธาเลื่อนลอยก็ไม่ไหว มีศรัทธาต้องมีปัญญาสัมปยุตไม่งั้นก็จะมีปัญหาศรัทธาเต็มไปหมด ไม่ว่าใครจะทำอะไรดีไม่ดี ผิดหรือถูก ซึ่งพระพุทธโฆษาจารย์รูปล่าสุดท่านมักใช้คำว่า “ยุคเกลื่อนกลาดศาสดา” ยุคที่มากไปด้วยครูบาอาจารย์
เวลานี้ข่าวที่กำลังดังคือกรณีครูอ้อย-ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ บางคนก็นิยมชื่นชม ศรัทธาเลื่อมใสแบบเต็มๆ บางคนก็เริ่มค้านและวิพากษ์วิจารณ์ หนังสือพิมพ์บางฉบับวิจารณ์ว่าการจัดคอร์สอบรมแพงถึง 2-3 หมื่น คือเฉพาะคนรวย คนจนเข้าไม่ถึงว่างั้นเถอะ
เราจึงได้เห็นอาจารย์โน้นเกิดอาจารย์นี้เกิด อาจารย์คนนั้นวิเศษวิโสลักษณะอภินิหาร เมื่อมีเกิดก็มีดับ แต่กว่าจะดับลูกศิษย์ลูกหาก็ทรุดโทรมไปไม่น้อย กรณีครูอ้อยถูกกล่าวหาว่าเอาความอ่อนด้อยของคนมาหากินให้ร่ำรวยอะไรอย่างนี้ แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นไม่สำคัญเท่าเจตนาคืออะไร
ถ้าเอาเงินไปปรนเปรอบำเรอตัวเองก็เกินไป แต่ถ้าเอาไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม ช่วยเหลือเด็กกำพร้า คนพิการ คนชราก็ไม่น่าจะบาปอะไร อาจเป็นบุญด้วยซ้ำไป ถ้าการกระทำนั้นดับทุกข์ให้คน ให้คนมีกำลังใจ มีความสุขก็จะไปต่อว่าไม่ได้ จึงต้องดูระยะยาว เพราะครูบาอาจารย์ทั้งหลายส่วนใหญ่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป สั้นบ้างยาวบ้าง
ยังไงก็ขอให้ใช้สติปัญญา ราคาคอร์สเข็มทิศชีวิตของครูอ้อยจะแพงแค่ไหนอย่างไร หากทำแล้วคนเป็นสุขหรือทุกข์ลดลงก็ไม่น่าจะไปขัดขวางอะไร ถ้าใครมีวิทยายุทธมาฉุดกระชากลากเอาความทุกข์ความเครียดออกจากจิตใจได้ ยุคนี้คนเรามีสุขภาพจิตย่ำแย่เหลือเกิน เป็นปัญหาหรือต้นเหตุของความอ่อนด้อยทางจิตใจ ทำให้ต้องคอยหาที่เกาะที่พึ่ง
ปัญหาของคนเรามีหลายประเด็น เช่น แข่งกันมีแข่งกันรวย พอไม่ได้เท่าเขาก็ไปนั่งเหงานั่งเศร้าหมดอาลัยตายอยาก พอใครทำอะไรตูมตาม โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ก็อยากไปหาที่เกาะเพื่อเป็นที่พึ่ง ส่วนจะเกษมหรือไม่เกษม จะดีเลิศอย่างไรก็แล้วแต่ ก็อยากฝากข้อคิดไว้ว่า ยุคเกลื่อนกลาดศาสดา เดี๋ยวมีครู มีอาจารย์ หรือตั้งตัวเป็นศาสดา เป็นเจ้าลัทธิอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำด้วยกุศลจริงๆ ไม่มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้น ลับลวงพราง ก็ไม่น่าตำหนิ ถ้าทำให้คนคลายทุกข์ได้
เสีย 2-3 หมื่นแล้วเป็นสุข สบายใจก็ไม่ว่ากัน บางคนเข้าวัดเสียเงินเป็นร้อยล้านพันล้านแล้วมานั่งกลุ้มทีหลังก็มี เจ้าของห้าง เจ้าสัว เวลามีเรื่องกลุ้มใจก็อาจเข้าวัดหรือไปเข้าคอร์สอบรม เพราะต้องการความสบายใจ ทำให้เข็มทิศชีวิตมันถูกทิศถูกทาง ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้วยเจตนาดี ก็ขอให้ความดีนั้นปกป้องคุ้มครองคนที่มีเจตนาดี แต่ถ้ามีเจตนาไม่ดีเดี๋ยวกฎแห่งกรรมก็เล่นงานเอง
เจริญพร
You must be logged in to post a comment Login