วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

หมดเครดิต

On June 27, 2017

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

การใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 เร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าไทย-จีน ที่ตีกรอบเวลาจะต้องลงนามในสัญญากันให้ได้ภายใน 3-4 เดือนนับจากนี้ แต่ดูเหมือนกระบวนการทำให้เกิดการมีส่วนร่วมยังถูกปิดกั้น

นอกจากรายละเอียดตามประกาศใช้อำนาจมาตรา 44 เกี่ยวกับการละเว้นกฎหมายหลายฉบับเพื่อผลักดันโครงการให้เดินหน้าไปได้ตามเป้าหมายแล้ว รายละเอียดด้านอื่นเกี่ยวกับตัวโครงการประชาชนยังไม่มีโอกาสได้รับทราบเท่าที่ควร

เมื่อรายละเอียดที่เกี่ยวกับเนื้อหาโครงการไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ (อาจเป็นเพราะการเจรจายังไม่สะเด็ดน้ำ) จึงทำให้เกิดคำถาม เกิดข้อสงสัยเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นความโปร่งใส ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างฝ่ายไทยกับจีน

ในประเด็นเหล่านี้แม้ว่าประชาชนจะมีความสงสัย แต่คำชี้แจงดูเหมือนไม่มีอะไรมากไปกว่าคำยืนยันจากผู้มีอำนาจว่าโครงการนี้จะเป็นไปอย่างโปร่งใสและสัญญาที่จะลงนามจะไม่ทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบฝ่ายจีนแน่นอน

สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่ส่งออกมาจากผู้มีอำนาจถึงประชาชนก็คือขอให้เชื่อมั่น อย่าขัดขวางการทำโครงการ

“ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะทางกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วโดยพิจารณาว่าสิ่งใดเหมาะสมและไม่เหมาะสม ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าเราจะเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าโครงการนี้ไม่มีการได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างแน่นอน”

เป็นคำกล่าวของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนล่าสุดหลังจากถูกตั้งคำถามว่าสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงฝ่ายไทยให้สิทธิประโยชน์กับฝ่ายจีนมากเกินไป

ทั้งนี้ แม้การเจรจายังไม่มีข้อสรุปขั้นสุดท้าย แต่เมื่อดูจากโมเม้นต์ของผู้มีอำนาจผ่านการชี้แจงและความตั้งใจที่จะเร่งผลักดันโครงการแล้วทำให้ประมาณการได้ว่าการเจรจาน่าจะมีความคืบหน้าไปมากกว่า 70-80% แล้ว

ประเด็นคือทำไมไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดการเจรจากับประชาชน

มองในแง่มุมของผู้มีอำนาจอาจมองว่าหากเปิดเผยรายละเอียดก่อนที่การเจรจาจะสำเร็จ อาจทำให้เกิดปัญหาจนส่งผลกระทบต่อการเจรจาได้

แต่หากมองในแง่มุมของการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส การเปิดกว้างให้มีการตรวจสอบ การเปิดเผยรายละเอียดระหว่างที่ยังไม่ได้ลงนามนับว่ามีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก

เพราะเมื่อรายละเอียดโครงการถูกเปิดเผยออกมาเป็นประเด็นสาธารณะจะทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมทางความคิดในสังคม ที่จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองได้อีกทางหนึ่งเหมือนกับที่เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมทางความคิดอย่างกว้างขวางหลังการใช้อำนาจมาตรา 44 ผลักดันโครงการโดยการละเว้นการบังคับใช้กฎหมายอื่นหลายฉบับ

การเคลื่อนไหวแสดงความเห็นจากหลายกลุ่มหลายองค์กรทำให้เกิดการรับรองว่าจะมีกระบวนการถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีจากฝ่ายจีนให้กับวิศวกรของไทย โดยกระบวนการถ่ายทอดความรู้นั้นจะไม่ตีกรอบแค่เรื่องการบำรุงรักษาเส้นทาง การบริหารจัดการเดินรถ แต่ต้องเป็นองค์ความรู้ที่ทำให้ไทยสามารถสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้เองในอนาคต

การเจรจามาแบบปิดที่ทำกันเองเฉพาะในกลุ่มผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องจะไม่เกิดกระบวนการเหล่านี้ ที่สำคัญการเลือกไม่เปิดเผยข้อมูลกับประชาชน เมื่อเจรจาเสร็จ และ ลงนามในสัญญาแล้ว เมื่อข้อมูลถูกเปิดเผยออกมาไม่เป็นไปตามที่ให้คำมั่นไว้ อาจส่งผลย้อนกลับในทางลบต่อผู้เจรจา ผู้ลงนามในสัญญาได้

แม้ตัวสัญญาต้องดำเนินไปตามผลผูกมัดที่ลงนามไปแล้ว

แต่คนทำให้เกิดสัญญา คนลงนามในสัญญาอาจมีปัญหาได้


You must be logged in to post a comment Login