วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วัดดวง / โดย สมศักดิ์ ไม้พรต

On July 17, 2017

คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง

ผู้เขียน : สมศักดิ์ ไม้พรต

ในยุคที่ประเทศปกครองโดยคนดีที่คิดว่าดีแล้วไม่ต้องมาตรวจสอบ จะตรวจสอบทำไมเมื่อเป็นการกระทำของคนดี ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม อะไรที่คนอื่นทำแล้วถูกชี้หน้าว่าไม่ดี คนดีก็ทำได้เพราะใครๆเขาก็ทำกัน เรื่องทุจริตโกงกินไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอย่างแน่นอนแค่ส่วนต่างมากกว่าปรกติเท่านั้น

ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่คนดีใช้กล่าวอ้างเวลาถูกยื่นตรวจสอบหรือถูกจับได้ว่าทำอะไรเหมือนๆกับคนที่ถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี

อาจเป็นเรื่องเก่า แต่อยากนำมาเล่าใหม่เพื่อให้ช่วยกันตรวจสอบว่า “คนดี” ที่กำลังมีอำนาจอยู่ในตอนนี้เป็น “คนดี” จริง หรือแค่ “หลงตัวเองหรือหลงไปเองว่าดี” เท่านั้น

ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุตรงกันว่ามีโรคจิตอยู่ชนิดหนึ่งเรียกว่า Narcissistic แปลเป็นไทยว่า “โรคหลงตัวเอง”

อยากให้คนที่ประกาศว่าเป็นคนดีทั้งหลายลองสำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่

1.คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ฉลาดที่สุด ชอบพูดถึงตัวเองในแง่ดีต่อสาธารณะอยู่บ่อยๆ

2.คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำดีที่สุด มีประสิทธิภาพ ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นทั้งหมด

3.คิดว่าคนอื่นไม่มีเหตุผลที่ไม่เข้าใจตัวเอง คงมีแต่คนดีด้วยกันเท่านั้นที่เข้าใจตัวเองที่สุด

4.ต้องการให้คนอื่นหันมาสนใจและชื่นชมตัวเองตลอดเวลา คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดในโลก

5.คิดว่าอำนาจที่มีอยู่ทำให้คนอื่นไม่สามารถทำอะไรได้ จึงคิดว่าสิ่งที่ได้ทำไปนั้นถูกต้องที่สุด แต่หากเกิดความผิดพลาดก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความผิด

6.ชอบใช้ผู้อื่นเป็นเครื่องมือกระทำสิ่งต่างๆให้ตลอดเวลา

7.ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น จิตใจเย็นชา

8.คิดว่าคนอื่นอิจฉาความเก่งกาจของตัวเอง ขณะเดียวกันก็อิจฉาคนอื่นที่ได้รับความชื่นชมมากกว่า

9.แสดงความหยิ่ง ยโส โอหัง ทั้งทางพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติ อะไรที่ไม่ถูกใจถือว่างี่เง่า ไร้สาระทั้งหมด

10.ต้องการมีอำนาจ ต้องการคำชมเชย และอยากเป็นที่รักของคนอื่นอยู่เสมอ

11.ทนไม่ได้กับการถูกวิพากษ์วิจารณ์

12.ไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง มักโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นร่ำไป

ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่ระบุว่าเป็นอาการของผู้ป่วย Narcissistic และผู้ป่วยโรคนี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการครบทั้งหมดที่บอกมา อาจมีบางข้อ ไม่มีบางข้อก็ได้

ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ยกมาเป็นประเด็นในช่วงนี้เพราะเห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้ในสังคมไทยกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในมวลหมู่พวกที่มีอำนาจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องอันตรายสำหรับบ้านเมืองในยุคปฏิรูป

ทั้งนี้เพราะการหลงตัวเองโดยคิดไปเองว่าเป็นคนดี สิ่งที่ทำดีที่สุดต่อชาติบ้านเมืองแล้วโดยไม่ยอมเปิดรับฟังความเห็นของคนอื่น มองว่าคนอื่นจ้องดิสเครดิต จะส่งผลให้การทำงานเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองไม่รอบคอบรอบด้านอย่างที่ควรจะเป็น

เมื่อไม่รอบคอบผลงานที่ออกมาก็จะเป็นไปแบบที่คิดเอาเองว่าดีแล้ว เหมาะสมที่สุดแล้วกับสังคมไทย โดยไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าสิ่งที่ทำนั้นดีที่สุด เหมาะสมที่สุดแล้วจริงหรือไม่

เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะเป็นที่รู้กันว่าหลังการลงจากอำนาจของรัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีข้อบังคับให้รัฐบาลชุดต่อๆไปที่มาจากการเลือกตั้งต้องทำตามสิ่งที่ได้วางแนวทางเอาไว้ หากไม่ทำตามถือว่าเป็นความผิด

ที่ผ่านมามีตัวอย่างความไม่รอบคอบรอบด้านจนกลายเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของรัฐบาลมาแล้วหลายครั้ง

เช่นกรณีการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน หากเป็นความต้องการของรัฐบาลจะผลักดันออกมาบังคับใช้อย่างรวดเร็ว ทั้งในรูปแบบของพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ที่ออกโดยคณะรัฐมนตรี และการใช้คำสั่งตามอำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ที่แม้จะไม่มีผลบังคับใช้แล้ว แต่อำนาจพิเศษนี้ยังถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

ตัวอย่างล่าสุดคือการออก พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ที่รัฐบาลเขียนออกมาบังคับใช้แทนของเดิมแล้วสร้างผลกระทบไปทั่วในหลายอุตสาหกรรม จนท้ายที่สุดต้องใช้อำนาจมาตรา 44 ประกาศเลื่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 180 วัน

แต่ยังยืนยันว่าไม่ยกเลิก ไม่ปรับแก้ พ.ร.ก. นี้ เพราะคิดมาดีแล้ว ไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่เปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องด้านแรงงาน

หรือตัวอย่างก่อนหน้านี้คือ การใช้อำนาจมาตรา 44 ออกประกาศห้ามประชาชนนั่งโดยสารท้ายรถกระบะ ในแค็บ จนสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนเป็นอย่างมาก ในที่สุดแม้จะไม่ยกเลิกประกาศนี้ แต่ก็ต้องเลื่อนการบังคับใช้ออกไป

รัฐบาลอาจจะมองว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับกฎหมายหรือประกาศมากมายหลายฉบับที่ออกมาบังคับใช้

แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะผิดพลาดเพียง 1 หรือ 2 ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดบกพร่องที่เกิดจากความไม่รอบคอบ

ที่สำคัญคือไม่มีใครออกมายอมรับในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแม้แต่คนเดียว มีแต่คำแก้ตัวด้วยเหตุผลที่รับฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง

พฤติกรรมแบบนี้ทำให้น่าคิดว่าประเทศกำลังถูกปกครองโดยคนที่มีอาการ Narcissistic ที่ว่านี้หรือไม่

หากเป็นคนเดียวหรือ 2-3 คนคงไม่เป็นไร เพราะส่วนที่เหลือยังช่วยกันทัดทานได้ แต่หากเกิดในลักษณะอุปาทานหมู่ถือว่าอันตราย

แม้จะเหลือเวลาอยู่ในอำนาจตามโรดแม็พอีกเพียงปีกว่า แต่ยังมีงานสำคัญให้รัฐบาลชุดนี้ต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะงานปฏิรูปด้านต่างๆ และการวางยุทธศาสตร์ชาติเป็นมรดกตกทอดเอาไว้อีก 20 ปี

ได้แต่ภาวนาว่าทั้งการปฏิรูป การวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะไม่ถูกกระทำโดยกลุ่มคนที่เป็น Narcissistic หากเป็นก็ขอให้เป็นเพียงแค่ 1-2 คน อย่าให้เป็นอุปาทานหมู่ เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดเสียหายขึ้นในอนาคตข้างหน้าคนที่รับกรรมคือประชาชน


You must be logged in to post a comment Login