- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
จำคุกยึดทำเนียบฯ
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
ข่าวเด่นประเด็นร้อนประจำวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาที่ประชาชนให้ความสนใจกันมากคงหนีไม่พ้นผลการตัดสินคดีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำกำลังเข้าบุกยึดทำเนียบรัฐบาลเพื่อประท้วงขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เหตุเกิดเมื่อปี 2551
จำเลยคดีนี้ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 82 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 69 ปี นายพิภพ ธงไชย อายุ 71 ปี นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 67 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 71 ปี และ นายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี
ทั้งหมดถูกยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 365
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จำเลยยื่นขอประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ออกมาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมคือ ศาลอุทธรณ์พิเคราะแล้วเห็นว่า โจทก์มีรองเลขาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักสถานที่ดูแลรักษาความเรียบร้อย สันติบาล 4 ปาก เบิกความถึงรายละเอียดเหตุการณ์ที่โจทก์ทั้ง 6 ที่เป็นแกนนำและผู้ชุมนุม ที่เข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและได้นำรถ 6 ล้อเข้าไปตั้งเวทีปราศรัย หน้าสนามหญ้าทำเนียบรัฐบาล มีการตัดโซ่ที่คล้องประตู รวมทั้งผลักดันแผงเหล็กกั้นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้ เพื่อรักษาความปลอดภัย ซึ่งการกระทำนั้นส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบรดน้ำ, สนามหญ้าที่ตายทั้งหมด และระบบไฟในสนามหญ้า ศาลจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้น เป็นการกระทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุมนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ซึ่งการที่จำเลยจะใช้เสรีภาพนั้นก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง
แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
เป็นอันว่าผ่านไปสองศาลคงเหลือชั้นฎีกา
คดีนี้อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯในช่วงดังกล่าวไม่ได้มีเพียงการบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่ราชการ เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและสถานีวิทยุกระจายเสียง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนนายสมัครพ้นจากตำแหน่งด้วยวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องสอนทำกับข้าวออกทีวี และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
ความน่าสนใจในคำตัดสินของศาลอุทธรณ์คือประเด็นที่ว่าจำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุมนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ
เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก 1 ปี โดยลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
คำพิพากษาเป็นที่สนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการชุมนุมดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสังคมและเศรษฐกิจ
ต้องรอดูคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งว่าที่สุดแล้วการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการอย่างทำเนียบรัฐบาลบทลงโทษจากศาลยุติธรรมจะมีแค่ไหนอย่างไร แน่นอนว่าทั้งคนไทยและต่างชาติต่างจับจ้องดูผลการตัดสินที่จะออกมาเพราะเป็นคดีประวัติศาสตร์สำคัญต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทย
You must be logged in to post a comment Login