- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เกาหลีใต้ไปไกลทั้ง ‘แพทย์-ไอซีที’ / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
สัปดาห์ที่แล้วผมหายหน้าไปไม่ได้เขียนคอลัมน์บ่นถึงใคร เพราะมีธุระจำเป็นต้องเดินทางไปนครโซล เกาหลีใต้ เพื่อไปรักษาอาการผิดปรกติที่เส้นเสียง เท้าความให้ฟังสักนิดว่า อาการป่วยของผมเรียกว่า “เส้นเสียงตึง” หรือ “เส้นเสียงเกร็ง” ซึ่งมีคนเป็นโรคนี้น้อยมาก และไม่ค่อยมีใครป่วยด้วยอาการนี้กันสักเท่าไร
ผู้ป่วยที่มีอาการโรคนี้จะออกเสียงลำบากและต้องใช้พลังในการพูดมากกว่าคนทั่วไป ซ้ำร้ายคุณภาพของเสียงยังแหบแห้งและแตกพร่า ทำให้การสื่อสารด้วยคำพูดทำได้จำกัด รวมถึงการใช้เสียงดังหรือตะโกนก็ทำแทบจะไม่ได้ ดังนั้น ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการขาดความสามารถในการพูด ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิตประจำวัน
โรคนี้คุณหมอทั่วโลกยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อเส้นเสียงเกิดอาการเกร็งและทำงานผิดปรกติ มีแต่เพียงข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการสั่งการที่ผิดปรกติจากสมอง ดังนั้น จึงไม่สามารถรักษาที่ต้นเหตุได้ สิ่งที่ทำได้คือ การรักษาที่ปลายเหตุ คือทำอย่างไรที่จะทำให้กล้ามเนื้อที่เส้นเสียงหายเกร็ง ซึ่งการรักษาที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ การฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่กล้ามเนื้อเส้นเสียง
อย่างไรก็ดี การฉีดโบท็อกซ์ถือว่าเป็นวิธีรักษาได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะฤทธิ์ของโบท็อกซ์มีเวลาอยู่จำกัด ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดเข้าไปและปัจจัยอื่นๆอีกพอสมควร แต่โดยทั่วไปการฉีดโบท็อกซ์จะช่วยบรรเทาอาการได้ประมาณ 3-6 เดือน เมื่อฤทธิ์ยาหมดคนไข้ก็ต้องไปฉีดใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆขึ้นอยู่กับอาการของคนไข้แต่ละคน
ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัดอาจต้องกระทำหากมีอาการผิดปรกติที่เส้นเสียงในรูปแบบอื่นๆร่วมด้วย ซึ่งมีอยู่มากมายพอสมควร แต่ด้วยเนื้อที่จำกัดผมขออนุญาตข้ามไป จะขอเล่าเฉพาะประสบการณ์ในการไปรักษาที่ประเทศโสมขาวในครั้งนี้ของผม โดยเดินทางออกจากประเทศไทยวันเสาร์ที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง
แน่นอนว่าสายการบินที่ผมใช้ในการเดินทางย่อมต้องเป็นสายการบินขวัญใจของผมเท่านั้น นั่นก็คือ “การบินไทย” ซึ่งไม่ทำให้ผมผิดหวังเหมือนทุกครั้ง เพราะได้รับการดูแลและบริการต่างๆเป็นอย่างดีจากลูกเรือในเที่ยวบินนั้น รวมถึงรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มต่างๆก็ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม
ผมไม่ได้เดินทางคนเดียวแบบนี้มานานแล้ว แต่ยังจำภาพของสนามบินปลายทางบางประเทศที่ผู้โดยสารต้องต่อคิวเป็นชั่วโมงเพื่อรอกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมือง สำหรับสนามบิน “อินชอน” ที่เกาหลีใต้ ผมต้องยอมรับและชื่นชมในการบริหารจัดการด้วยความจริงใจ เพราะนอกจากกรรมวิธีตรวจคนเข้าเมืองสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีคิวยาวแล้ว เมื่อไปถึงสายพานรับกระเป๋าก็พบกระเป๋าของผมออกมาหมุนรอให้หยิบเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเดินออกจากห้องโถงขาออกเพื่อเดินทางเข้าโรงแรมที่พัก ผมพบว่ามีการขนส่งสาธารณะทุกชนิดรอให้บริการอยู่ตรงหน้า ทั้งรถโดยสารประจำทาง รถแท็กซี่ และรถไฟ สะดวกสบายจริง และที่สำคัญคือไม่มีใครมาส่งเสียงเรียกลูกค้าแย่งลูกค้ากันเลย ใครใคร่เดินทางด้วยยานพาหนะแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ สำหรับผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะเดินทางเข้าเมืองด้วยรถไฟที่เรียกว่า “Airport Express”
จากห้องโถงขาออกใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงตู้ซื้อตั๋ว ซึ่งราคาตั๋วในการเดินทางไป “Seoul Station” คิดเป็นเงินไทยประมาณ 300 บาทเท่านั้น ถูกกว่าเดินทางด้วยแท็กซี่มาก แถมยังเร็วกว่าอีกด้วย เพราะรถไฟเดินทางรวดเดียวไม่จอดที่ไหน พอเข้าถึงโซลผมก็เรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางเข้าโรงแรมที่พักต่อไป ทั้งหมดที่เล่ามานี้เพียงอยากถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่าประเทศเกาหลีใต้เขาพัฒนาไปไกลมากๆๆๆๆๆแล้วจริงๆ
กลับมาที่เรื่องการรักษาเส้นเสียงของผมดีกว่า จากการวินิจฉัยข้อมูลเบื้องต้นที่ตรวจโดยคุณหมอไทยและส่งต่อให้คุณหมอที่เกาหลีได้วิเคราะห์และวินิจฉัยเบื้องต้นว่าอาจต้องทำการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการผิดปรกติที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม ผมได้ไปพบคุณหมอเกาหลีเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาและวิเคราะห์อาการของเส้นเสียงโดยละเอียดอีกครั้ง
คุณหมอที่รักษาชื่อคุณหมอคิม การตรวจของคุณหมอน่าประทับใจมาก ใช้เครื่องมือและการวินิจฉัยที่ทันสมัย เที่ยงตรง เข้าใจง่าย ไม่มี verb to เดา ใช้เวลาตรวจอาการของผมตั้งแต่บ่ายโมงครึ่ง กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดก็เกือบ 6 โมงเย็น การตรวจเริ่มจากการทำแบบสอบถามอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด และไปพบคุณหมอเพื่อสัมภาษณ์จากปากคนไข้อีกครั้ง จากนั้นก็ใช้เครื่องมือเป็นกล้องความชัดเจนสูงแบบ HD สอดผ่านจมูกเข้าไปเพื่อดูเส้นเสียงอย่างละเอียดว่ามีความผิดปรกติอย่างไร
จากนั้นไปพบผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์ความผิดปรกติของเสียง ซึ่งเป็นคุณหมอสุภาพสตรีอีกท่านหนึ่ง การตรวจที่ห้องนี้เป็นการตรวจวัดความผิดปรกติของเสียง โดยใช้เครื่องมือหลากหลายชนิดเพื่อหาผลลัพธ์ที่แท้จริงของเสียงของเรา ที่ห้องนี้ใช้เวลานานพอสมควร แต่น่าสนใจมาก เพราะใช้เครื่องมือทันสมัยที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
การตรวจวัดของทุกเครื่องมือจะนำเอาผลที่ได้ input เข้าไปในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะนำไปประมวลผลเพื่อหาผลลัพธ์นำไปใช้วิเคราะห์ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอดกล้องเข้าไปเพื่อถ่ายภาพสโลโมชั่นการทำงานของเส้นเสียงที่มีความเร็วถึง 3,000 เฟรมต่อวินาที เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เราเห็นภาพความผิดปรกติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ทรมานน่าดู เพราะต้องสอดเข้าคอโดยตรง และหมอจะไม่ให้ใช้ยาชาเด็ดขาด เพื่อให้เส้นเสียงทำงานได้เป็นธรรมชาติที่สุด
สรุปแล้วการตรวจละเอียดใช้เวลาถึงครึ่งวันเต็มๆ จากนั้นคุณหมอนำผลทั้งหมดมาวิเคราะห์ให้ฟัง ทั้งนี้ เพื่อที่จะกำหนดวิธีการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป การวิเคราะห์ของคุณหมอใช้ภาพการทำงานของเส้นเสียงคนปรกติมาขึ้นจอเปรียบเทียบกับของผมเป็นแบบเฟรมต่อเฟรม เพื่อทำให้มองเห็นภาพทั้งหมดอย่างชัดเจน และสามารถเข้าใจสาเหตุและอาการผิดปรกติที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจด้วยเครื่องมือต่างๆมาแปลความหมายในรูปของกราฟและการแสดงผลในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเลือกวิธีรักษาต่อไป
สรุปความว่า การตรวจวิเคราะห์อาการของเส้นเสียงโดยละเอียดของคุณหมอคิมยอดเยี่ยมมาก นอกจากจะใช้เครื่องมือและการวินิจฉัยที่ทันสมัยแล้ว ยังมีการเปรียบเทียบอาการของเรากับอาการของคนปรกติเพื่อให้เห็นภาพความผิดปรกติชัดเจนมากขึ้น ซึ่งผลสุดท้ายคุณหมอคิมเลือกวิธีการรักษาเส้นเสียงของผมด้วยการฉีดยาและทานยา
ที่เล่ามาทั้งหมดในสัปดาห์นี้ต้องเรียนตามตรงว่า ผมรู้สึกประทับใจการรักษาในครั้งนี้ และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงเห็นคนไข้ที่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติเต็มคลินิกไปหมด ต้องยอมรับว่าการแพทย์ของเกาหลีเป็นอีกวงการที่ทันสมัยและพัฒนายกระดับไปได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้ด้านไอซีที ถ้าประเทศไทยของเรายังถูก “แช่แข็ง” ต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ อย่าว่าแต่เกาหลีเลย วันหนึ่งเราอาจมองไม่เห็นก้นของเพื่อนบ้านที่เราเคยดูถูกเขาไว้ในอดีตก็เป็นได้
You must be logged in to post a comment Login