- ปีดับคนดังPosted 4 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 6 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
สเต็มเซลล์รักษาโรค? / โดย พญ.วรัชยา ฟองศรัณย์
คอลัมน์ : โลกสุขภาพ
ผู้เขียน : พญ.วรัชยา ฟองศรัณย์
ในปัจจุบันการเก็บสเต็มเซลล์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากถือเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่พร้อมจะเจริญเติบโต แบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่ ต่างจากเซลล์ที่โตเต็มที่แล้วซึ่งจะทำหน้าที่เฉพาะของแต่ละอวัยวะนั้น ไม่สามารถเพิ่มจำนวนตัวเองหรือเปลี่ยนรูปลักษณ์และการทำงานไปเป็นเซลล์ของอวัยวะอื่นได้อีก
ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มีเฉพาะในสเต็มเซลล์นี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์ทั่วโลกสนใจการเก็บสเต็มเซลล์เพื่อมาใช้รักษาโรคมากมายแทนการรักษาในปัจจุบันที่ให้ผลไม่น่าพึงพอใจ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเก็บสำรองสเต็มเซลล์ไว้ก่อนการเจ็บป่วยที่อาจทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเก็บสเต็มเซลล์ตนเองได้
การเก็บสเต็มเซลล์จากกระแสเลือดเป็นวิธีการเก็บสเต็มเซลล์แบบหนึ่ง เซลล์ที่ได้มีคุณสมบัติในการเพิ่มจำนวนและเจริญเป็นเซลล์ชนิดต่างๆได้เช่นเดียวกับการเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดในรกและสายสะดือ การเก็บสเต็มเซลล์เป็นการสำรองเผื่อสำหรับการรักษาโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่สามารถรักษาด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัด โดยสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดในการใช้รักษาโรคคือสเต็มเซลล์ของตนเองที่เก็บก่อนการเกิดโรค เพราะโรคบางชนิดเป็นโรคของสเต็มเซลล์โดยตรง สเต็มเซลล์ของคนที่เป็นโรคแล้วนั้นไม่สามารถใช้รักษาโรคได้
โรคที่สามารถรักษาด้วยสเต็มเซลล์มีหลากหลาย เปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าทางการแพทย์ อาทิ โรคโลหิตจางชนิดธาลัสซีเมีย โรคไขกระดูกฝ่อ โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทั้งยังมีวิวัฒนาการทางการแพทย์ทั่วโลกที่ศึกษาการรักษาโรคกลุ่มที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายด้วยสเต็มเซลล์ เช่น โรคกระดูกอ่อนเสื่อม โรคข้อเสื่อมระยะต้น การบาดเจ็บข้อเข่าจากการเล่นกีฬา แผลเบาหวาน ฯลฯ
การเก็บสเต็มเซลล์ในกระแสเลือดนั้น ก่อนอื่นต้องได้รับการตรวจสุขภาพ ทั้งการตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ตับอ่อน ความสมบูรณ์ของเลือด การแข็งตัวของเลือด ระดับน้ำตาลและระดับไขมันในเลือด และเกลือแร่ในร่างกาย รวมถึงโรคที่สามารถถ่ายทอดทางการรับโลหิต การตรวจเอกซเรย์ปอด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
หลังจากตรวจสุขภาพผ่านแล้วจะเข้าสู่กระบวนการกระตุ้นการสร้างสเต็มเซลล์ให้ออกมาในกระแสเลือดด้วยการฉีดยา G-CSF บริเวณต้นแขน (คล้ายการฉีดวัคซีน) วันละครั้งเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นเก็บสเต็มเซลล์ด้วยเครื่องแยกชนิดเซลล์จากกระแสโลหิต (Apheresis Machine) ซึ่งทำการคัดแยกชั้นสเต็มเซลล์ออกจากเลือด โดยเครื่องจะคำนวณปริมาณเลือดของผู้เก็บสเต็มเซลล์จากข้อมูลน้ำหนัก ส่วนสูง และเพศของผู้เก็บ เวลาที่ใช้ในการเก็บสเต็มเซลล์ อัตราการปั่นแยกสเต็มเซลล์ที่เหมาะสม ปริมาตรสเต็มเซลล์ที่เก็บได้
ในระหว่างการเก็บสเต็มเซลล์จะมีทีมแพทย์และพยาบาลคอยดูแลตลอด โดยสาย 1 สายจากเครื่องเก็บสเต็มเซลล์จะทำหน้าที่รับเลือดจากเส้นเลือดบริเวณข้อพับของแขนข้างหนึ่ง ซึ่งเลือดที่ถูกดึงออกมาจะถูกนำไปปั่นเพื่อคัดแยกชั้นของสเต็มเซลล์ออกมาเก็บไว้ ส่วนเม็ดเลือดแดงและพลาสมาจะถูกคืนกลับสู่ร่างกายทางเส้นเลือดดำของแขนอีกข้างหนึ่ง โดยทั่วไปเลือด 1 ลิตรจะสามารถคัดแยกสเต็มเซลล์เข้มข้นได้ประมาณ 10-20 ซี.ซี. เท่านั้น
ดังนั้น การเก็บสเต็มเซลล์ต้องใช้เครื่องดังกล่าวในการปั่นเก็บสเต็มเซลล์ โดยปรกติจะปั่นประมาณ 3 เท่าของปริมาณเลือดทั้งหมดเพื่อให้เก็บสเต็มเซลล์ได้มากที่สุดโดยมีผลกระทบต่อผู้เก็บน้อยที่สุด ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 3-4 ชั่วโมง การเก็บแต่ละครั้งผู้เก็บจะเสียเลือดไม่เกิน 150 ซี.ซี. ซึ่งที่ผ่านมาผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่บริษัทมีประสบการณ์ในการเก็บสเต็มเซลล์คือ 9 ปี และผู้ที่อายุมากที่สุดคือ 89 ปี
You must be logged in to post a comment Login