- ปีดับคนดังPosted 15 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
เกินหนึ่งได้ แต่ไม่เกินสี่ / โดย บรรจง บินกาซัน
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
ทั้งๆที่ศาสนามีความสำคัญต่อชีวิต แต่เพราะศาสนามิได้ถูกนำมาสอนในโรงเรียนเพื่อเป็นกฎกติกาในการดำเนินชีวิต เด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่จึงไม่มีความรู้ทางศาสนา แม้แต่ความหมายของชื่อศาสนาที่ตัวเองนับถืออยู่ศาสนิกส่วนใหญ่ยังไม่รู้ เมื่อไม่รู้แม้แต่ศาสนาของตัวเอง การจะรู้หรือเข้าใจศาสนาอื่นๆก็เป็นเรื่องยาก ยิ่งเมื่อรับการศึกษาแบบตะวันตกที่ปฏิเสธศาสนา คนรุ่นใหม่จึงมองศาสนาของตัวเองและของคนอื่นผ่านแว่นของชาวตะวันตก
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจอิสลามว่าเป็นศาสนาที่ไม่กินหมูและมีเมียได้ 4 คน ความเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ส่อให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างผิวเผิน หมูเป็นสิ่งต้องห้ามเช่นเดียวกับสิ่งมึนเมา และข้อห้ามนี้มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล อิสลามถูกส่งมายืนยันข้อห้ามที่มีอยู่ในคัมภีร์ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับที่พระเยซูยืนยันว่าท่านไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติเดิมที่โมเสสนำมา ท่านมาเพื่อยืนยันธรรมบัญญัติเดิม แต่เพราะตะวันตกปฏิเสธศาสนาและคนไทยมองศาสนาผ่านแว่นของตะวันตก คนไทยจึงเข้าใจศาสนาของตัวเองและของคนอื่นอย่างผิดๆ
การที่อิสลามอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยามากกว่า 1 คน และการที่นบีมุฮัมมัดมีภรรยาหลายคนก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ชาวตะวันตกมองว่าเป็นการกดขี่ทางเพศ คนที่มีทรรศนะเช่นนี้จัดได้ว่าเป็นผู้ไม่ได้ศึกษาคำสอนของอิสลามอย่างถี่ถ้วน
เรารู้จากคัมภีร์ไบเบิลว่า อับราฮัม บรรพบุรุษแห่งความศรัทธาของชาวยิว ชาวคริสเตียน และชาวมุสลิม มีภรรยา 3 คน ถ้าอับราฮัมไม่มีภรรยาหลายคนและไม่มีลูกที่เกิดจากภรรยาเหล่านั้น ศาสนาทั้งสามก็คงไม่แพร่หลายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ยาโกบเองก็มีภรรยา 4 คน และลูกหลานของยาโกบก็มีหลายคนที่พระเจ้าคัดเลือกขึ้นมาเป็นนบีผู้ประกาศศาสนาของพระเจ้า
การมีภรรยาหลายคนเป็นสิ่งจำเป็นในบางสถานการณ์ เช่น กษัตริย์ในอดีตมีภรรยาหลายคนเพื่อมีลูกหลานไว้ค้ำบัลลังก์หรือสืบทอดอำนาจ ข้าราชบริพารก็เต็มใจยกลูกสาวของตัวเองให้แต่งงานกับผู้มีอำนาจเพื่อผลดีแก่ตัวเองและลูกสาว
ในทะเลทราย การที่ผู้หญิงดำรงตนเป็นโสดอยู่ตามลำพังท่ามกลางชนเผ่าที่ป่าเถื่อนโดยไม่มีผู้คุ้มครองดูแลถือเป็นอันตรายสำหรับตัวผู้หญิงเอง ดังนั้น ผู้หญิงจึงถือเป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่ตัวเองจะเป็นภรรยาคนที่เท่าไรของผู้ชายคนใดก็ได้เพื่อแลกกับการดูแลและการคุ้มครอง ดังนั้น ผู้ชายจึงมีภรรยาโดยไม่จำกัดจำนวน
เมื่ออิสลามปรากฏขึ้นในทะเลทรายอาหรับ มีสงครามเกิดขึ้นหลายครั้งระหว่างมุสลิมและผู้ที่ต่อต้านอิสลาม การสู้รบทำให้ผู้ชายตายเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่มีมากไปกว่าผู้ชายที่ตายในสนามรบก็คือ เด็กหญิงกำพร้าและแม่ม่ายของทั้งสองฝ่าย ผู้หญิงเหล่านี้จึงตกเป็นเป้าสายตาของผู้ชาย แต่เพื่อไม่ให้เด็กหญิงกำพร้าและแม่ม่ายต้องตกเป็นนางบำเรอ และเพื่อยกสถานะของผู้หญิงเหล่านี้ให้สูงขึ้น ท่านนบีมุฮัมมัดจึงสนับสนุนบรรดาสาวกของท่านแต่งงานกับผู้หญิงเหล่านี้ได้เกินกว่า 1 คน
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีผู้ชายบางคนต้องการจะแต่งงานกับเด็กหญิงกำพร้าหน้าตาสวยและรวยทรัพย์โดยให้สินสอดน้อยกว่าที่เด็กผู้หญิงทั่วไปได้รับ ด้วยเหตุนี้คำบัญชาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานกับหญิงเกินกว่า 1 คน แต่ไม่เกิน 4 คน บนเงื่อนไขความยุติธรรมจึงถูกประทานลงมา
“และถ้าหากสูเจ้าเกรงว่าไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่เด็กกำพร้า ดังนั้น จงแต่งงานกับผู้หญิงอื่นสอง หรือสาม หรือสี่ ที่สูเจ้าสบใจ แต่ถ้าหากสูเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็จงแต่งงานกับผู้หญิงเพียงคนเดียวหรือแต่งงานกับผู้หญิงที่อยู่ในความครอบครองของสูเจ้า นั่นเป็นการดีกว่าที่สูเจ้าจะได้ไม่ลำเอียง” (กุรอาน 4:3)
คำสอนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าอิสลามมิได้กำหนดให้มุสลิมทุกคนมีภรรยา 4 คน แต่จำกัดการมีภรรยาหลายคนไว้มิให้เกินสี่ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องให้ความยุติธรรมแก่ผู้หญิงทุกคน ถ้าเกรงว่าไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ก็แต่งแค่คนเดียว
บทบัญญัตินี้มีไว้เพื่อแก้ปัญหาสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ผู้ชายมีจำนวนน้อยกว่าผู้หญิง
You must be logged in to post a comment Login