- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
1 ปีหลังประชามติ: เปิดงานวิจัย ทำไม รธน. ผ่านฉลุย
สำนักข่าวบีบีซีไทย รายงานว่า หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เปิดโทรทัศน์เพือรับชมรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ในทุกคืนวันศุกร์ คำไหนของผู้นำที่ติดหู-ติดใจคุณ..?
และถ้าคุณเป็นคนไทยที่ไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ วันที่ 7 ส.ค. 2559 คุณตัดสินใจ “รับ-ไม่รับ” ร่างฯ บนพื้นฐานอะไร..?
คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอิทธิพลต่อการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยคะแนนร้อยละ 61.35 ต่อ 38.65 หรือไม่?
- หนึ่งปีหลังหมายจับคดีประชามติ ตร.เพิ่งรวบ “รังสิมันต์ โรม”
- ศาลให้ประกันตัว รังสิมันต์ โรม คดีแจกใบปลิวประชามติ-ชุมนุมหน้าหอศิลป์
ผลการศึกษาเรื่อง “วาทกรรมประชามติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ” โดย เอกจิต สว่างอารมย์ คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (2559) ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างวันที่ 9 ต.ค.2558-5 ส.ค.2559 ก่อนนำมาวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse Analysis) จากการสื่อสารความหมายในเนื้อหาที่นำเสนอ พบว่า การสื่อสารของ พล.อ.ประยุทธ์ในรายการดังกล่าว ถูกกำกับภายใต้ความหมายของวาทกรรม 3 ชุดหลักคือ
1. ประชาธิปไตยในแบบ คสช. ที่พร้อมให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ทว่าอยู่ภายใต้เงื่อนไข-กติกาของรัฐบาล คสช.
2. ความมั่นคง โดยอ้างอิงคตินิยมแบบทหารที่เน้นมิติความมั่นคงเหนือการพัฒนา จึงทั้งเตือน-ทั้งขู่ เพื่อให้ประชามติเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย 3. พ่อเมือง/ขุนพล ผู้ประกาศตัวเป็น “ผู้จัดการ-ผู้สะสางปัญหา” ให้ประเทศชาติและประชาชน
จาก “ผู้อบรมสั่งสอน” ประชาชน สู่ “ผู้หวังดีต่อประเทศ”
ตลอด 1 ปี 10 เดือน นับจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เข้ารับหน้าที่ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ถึงวันออกเสียงประชามติ (5 ต.ค. 2558-7 ส.ค. 2559) พล.อ.ประยุทธ์มักใช้พื้นที่รายการคืนความสุขฯ “อบรมสั่งสอน” ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ นับได้เป็น ร้อยละ 36.36 ของจำนวนรายการที่ออกอากาศในช่วงนั้น โดยพร่ำบอกว่า “อย่าเอาแต่ประชาธิปไตย” “เลิกทะเลาะกัน” และ “ออกไปลงประชามติ”
วาทกรรม 3 ประเภทในรายการคืนความสุขฯ | ||
---|---|---|
36.36% | อบรมสั่งสอน | “อย่าเอาแต่ประชาธิปไตย” “เลิกทะเลาะกัน” “ออกไปลงประชามติ” |
34.1% | เปิดวิวาทะฝ่ายตรงข้าม | “ฝ่ายตรงข้าม/ผู้วิจารณ์มีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง” “รัฐบาลไม่ตั้งใจสืบทอดอำนาจและมีความมุ่งมั่นในการทำเพื่อประชาชน” “ฝ่ายตรงข้าม/ผู้วิจารณ์ไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน” |
29.54% | ชี้แจงทำความเข้าใจ | “รัฐบาลชุดนี้ทำเพื่อประชาชน” “รัฐบาลชุดนี้ตั้งใจทำกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” “ออกไปลงประชามติ” |
ที่มา : วิทยานิพนธ์เรื่อง “วาทกรรมประชามติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ”
เอกจิตบอกกับบีบีซีไทยว่า นี่คือการสื่อสารที่แฝงความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้สร้างวาทกรรมกับประชาชน “เสมือนหนึ่งประชาชนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ไม่มีความรู้เรื่องการออกเสียงประชามติ” อีกทั้งยังสร้างความหมายประชาธิปไตยในรูปแบบ “เสรีภาพของประชาชนอยู่ภายใต้ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง”
ส่วนวาทกรรมรองๆ ลงไปเป็นการ “เปิดวิวาทะฝ่ายตรงข้าม” โดยวิจารณ์ว่ามีความเข้าใจไม่ถูกต้อง ถือเป็นการสร้างภาพ “ผู้ร้ายทางการเมือง” และ “ไม่รักชาติ” ให้คนต่างขั้วการเมือง
ขณะเดียวกันยังมีวาทกรรมประเภท “ชี้แจงทำความเข้าใจ” คอยตอกย้ำว่า “รัฐบาลชุดนี้ทำเพื่อประชาชน” “ตั้งใจทำกฎหมายรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย”
สุดท้ายวาทกรรมประชามติรวม 45 ชุดที่เกิดขึ้นในรายการคืนความสุขฯ ได้สร้างอัตลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าเป็น “ผู้หวังดีต่อประเทศชาติ” และ “ผู้มีความเข้าใจประชาธิปไตย แต่ต้องอยู่ในความสงบ”
ด้วยรูปแบบการสื่อสารแบบ “วันแมนโชว์” ที่ไร้การซักค้าน-โต้แย้ง ผสานกับการออกแบบเนื้อหาอย่างมีทิศทาง ทำให้ความหมายวาทกรรมประชามติที่เกิดขึ้นในรายการคืนความสุขฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่ใช่ผลโดยตรงในช่วงเวลาออกอากาศ 20.00 น. เศษ เพราะเทคโนโลยีช่วยเพิ่มช่องทางรับสารอื่นแก่ประชาชนในคืนวันศุกร์ บางส่วนเลือกปิดทีวีหนี-เปลี่ยนไปเสพสื่ออื่นเพื่อคืนความสุขในแบบของตน
แต่ “น้ำคำ” ของผู้นำถูกนำไป “ผลิตซ้ำ” ผ่านสื่อบุคคลในเครือข่ายอำนาจรัฐ ทั้งวิทยากรเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญระดับจังหวัด-อำเภอ-หมู่บ้าน ที่เรียกว่า “ครู ก. ข. ค.” กลุ่ม รด. จิตอาสา และอื่นๆ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ว่า “มีผลอย่างมากในการโน้มน้าวใจประชาชน เพราะเป็นการสื่อสารที่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคล”
สอดคล้องกับความเห็นของ ผศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิแก้ว ผู้ช่วยอธิการบดีนิด้า และผู้อำนวยการหลักหลักสูตรปริญญาเอก คณะนิเทศศาสตร์ ที่ว่า คำพูดในรายการคืนความสุขฯ ถือเป็น “สารตั้งต้น” โดย พล.อ.ประยุทธ์ทำหน้าที่นับ 1 ให้ โดยมีองคาพยพต่างๆ คอยรับลูกแล้วนำไปสื่อสาร-ย้ำเตือน เมื่อถึงจุดสำคัญว่าจะต้องไปซ้ายหรือขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง รายการนี้ก็ทำหน้าที่ “กระตุ้น” การตัดสินใจ นี่คือเหตุผลที่ คสช.ต้องยึดผังรายการทีวี-ยึดตรึงเวลาประเทศไทยเอาไว้ แม้ไม่ใช่รายการที่คนเฝ้าติดตามรอฟัง แต่สื่อกระแสหลักก็เก็บตกข้อมูลไปนำเสนอต่อ ซึ่งการ “ผลิตซ้ำ” เนื้อหาไม่ว่าในแง่บวกหรือลบทำให้เกิดการทำงานของวาทกรรม
อดีตที่น่ากลัว กับอนาคตที่ไม่แน่นอน
อีกปรากฎการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้าคูหาประชามติ คือการแต่งเครื่องแบบทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วประกาศรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ซึ่ง ผศ.ดร.อัศวินเห็นว่านี่คือการสื่อสาร-ออกคำสั่งโดยสัญลักษณ์
“มันเหมือนกับกำลังจะออกรบแล้ว ก็ต้องปลุกขวัญกำลังใจให้เกิดความฮึกเหิม ในการออกศึกต้องเอาสิ่งที่ตัวเองเคยมี เคยใช้ เคยประกาศศักดาออกมาปลุกกองเชียร์ มันบ่งบอกถึงฮาร์ดพาวเวอร์ (อำนาจบังคับขู่เข็ญ) บางอย่างที่แฝงมากับสัญลักษณ์เหล่านั้น ผมคิดว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยมีภาพเชิงบวกกับกองทัพในแง่ความเป็นสถาบัน จากการคอยช่วยเหลือเป็นที่พึ่งยามยาก และการยึดโยงกับสถาบันหลักของชาติ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เรียนรู้และใช้ประโยชน์ตรงนี้”
“การแต่งเครื่องแบบทหารของนายกฯ ยังมีอีกนัยคือการออกคำสั่งโดยสัญลักษณ์ ตอกย้ำว่าเอาจริงนะ ลองคิดดูว่าหน่วยทหารทั้งบก เรือ อากาศ ตำรวจมีตั้งเท่าไร เครือญาติอีกเท่าไรที่จะถูกส่งสารจากนายกฯ ไป” ผศ.ดร.อัศวินกล่าว
ต่างจากพื้นที่สื่อสารของ “ฝ่ายเห็นแย้ง” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ถูกจำกัดด้วยสารพัดกฎหมาย แม้นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวบางส่วนพยายามส่ง “เสียงที่ต่าง” แต่สังคมไทยยังไม่รับลูกเพียงพอ
“สังคมโดยส่วนใหญ่อยากเคลื่อนตัวเองไปสู่การเลือกตั้ง จึงปล่อยผ่านไป เพราะคิดว่าประชามติเป็นขั้นหนึ่งที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตย ทุกคนจึงเร่งกระบวนการนี้เพื่อจะได้เดินต่อตามภาพอนาคตที่ถูกวาดไว้”
ขณะเดียวกันปฏิบัติการนี้ยังเกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศความตึงเครียด เมื่อรัฐบาล คสช. ไม่ยอมเปิดเผยว่าหากร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำในชั้นประชามติ จะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่ง อ.อัศวินเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยไปโหวตรับร่างฯ เพราะเหตุนี้
“การไม่รู้อนาคตมันสะสมบรรยากาศความตึงเครียด เขาจึงเปิดช่องไว้นิดๆ ว่าแต่ละคนสามารถคลายความตึงเครียดได้ด้วยการออกไปโหวต และจะดีมากถ้าโหวตในทิศทางที่ทำให้โรดแมปของ คสช. เดินหน้าต่อไป ซึ่งนั่นก็คือการรับร่าง”
การออกเสียงประชามติหนที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เกิดขึ้นเพื่อถามประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย ว่ารับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ต่างจากบรรยากาศช่วงจัดทำร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ในยุคประชาธิปไตย หรือร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร แต่ก็ยังมีเวทีถกเถียงกันได้
คดีประชามติ 2559
มี 212 คนยังถูกดำเนินคดีหลังรธน. ประกาศใช้
- – จัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ 147 ราย
- – แจกใบปลิวและแสดงความคิดเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ 36 ราย
- – เผยแพร่จดหมายวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ 20 ราย
- – จัดกิจกรรมเสวนาเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ 11 ราย
- – ฉีกบัตรออกเสียงประชามติ 3 ราย
“ช่วงก่อนลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด พื้นที่แสดงความคิดเห็นถูกปิดเกือบหมด ดังนั้นตัวอักษรที่บรรจุในนั้น มันไม่มีความหมายเลย เราเห็นแต่ความเคลื่อนไหวผ่านตัวบุคคล ผ่านผู้นำที่เกาะกลุ่มเป็นเครือข่ายอำนาจที่ออกมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้” นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนกล่าว
บทสรุปของการที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติด้วยคะแนน “ทิ้งห่าง” ในทัศนะของเขาคือ “มันเป็น ‘พลังลายพราง’ ที่มีทั้งความเกรี้ยวกราด สะลึมสะลือ สลัวๆ พลิ้วไหวก็ยังได้ ทั้งหมดร้อยเรียงเป็นพลังให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ”
You must be logged in to post a comment Login