- ปีดับคนดังPosted 18 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
เฮงซวย? / โดย ทีมข่าวการเมือง
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
“ประเทศเฮงซวย จะอีก 50 ปี หรืออีก 1000 ปี ก็ไม่เจริญขึ้นหรอก ยิงกูดิ”
ทวีตข้อความร้อนระอุเมื่อสัปดาห์ก่อนของ “อิมเมจ เดอะวอยซ์” หรือ “สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ” และข้อความที่ระบายอารมณ์จากเหตุการณ์ที่ทำให้อัดอั้นตันใจว่า “ไม่รู้จะเอาอะไรมาภูมิใจละจริงๆกับที่นี่ ยินดีจะทำงานหนัก ยินดีจะจ่ายภาษีและค่าครองชีพในเรทที่แพงกว่านี้ ถ้า welfare ในชีวิตประจำวันจะดีกว่านี้ เหนื่อยใจ ไม่อยากเรียกที่นี่ว่าบ้าน เอาจริงๆนะ แค่ทำให้รถเมล์ รถตู้มาสม่ำเสมอทุกเส้นทางยังทำไม่ได้เลย จะเอาอะไรไปเจริญ ออ ตลก”
ข้อความของ “อิมเมจ” กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจากคนไทยที่รักชาติ (มากกว่าปรกติ) แต่มีคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มากมายที่เห็นด้วยและยกย่อง “อิมเมจ” ที่กล้าพูดตรงๆกับปัญหาที่หมักหมมของสังคมไทย แม้ “อิมเมจ” จะลบข้อความภายหลัง โดยญาติสนิทได้บอกผ่านสื่อสั้นๆว่า ไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่เพราะวันนั้น “อิมเมจ” ต้องรอรถเมล์นานกว่า 2 ชั่วโมง
“อ๊อฟ-ชัยนนท์ จันทร์เต็ม” พิธีกรและอดีตนักร้องเจ้าของเพลงดัง “หลับตาก็รู้” เป็นอีกหนึ่งคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบร่ายยาวว่า “อิมเมจพูดไรผิด งง ทำไมต้องไปด่าเค้า เราด่าสิ่งห่วยๆของประเทศเราไม่ได้หรอ หื้ม ไม่เคยด่าแท็กซี่ ด่า รฟฟ. ด่ารถเมล์กันหรอ”... “ระบบขนส่งมวลชนเรามันแย่จริงๆอะ คนก็หนีไปขับรถ รถติดอีก ฯลฯ อิมเมจแค่พูดสิ่งที่ทุกคนเจอ แต่น้องใช้คำไม่สุภาพแค่นั้น”… “แล้วการด่าระบบขนส่งมวลชนเนี่ย ผมว่ามันด่าทุกรัฐบาลรึเปล่า เพราะมันผ่านมากี่ปี มันก็อยู่อย่างนี้ คือพัฒนานะ แต่ช้ามากกกกกกกกกกกก”… “แต่ก็ไม่ชอบคนที่บอกว่า ถ้ารวยไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว อันนี้ไม่จริง ถ้าคุณพยายาม คุณมีความสามารถ ภาษาได้ คุณอยู่ที่ไหนก็ได้นะ”
ประเทศที่คนรับไม่ได้เมื่อถูกว่า “เฮงซวย”
สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียน นักแปล และนักวิชาการอิสระด้านการเงิน กล่าวสั้นๆผ่านเฟซบุ๊ค (3 สิงหาคม) แต่ตอกย้ำวาทกรรม “ประเทศเฮงซวย”ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า “ประเทศเฮงซวย : ประเทศที่คนรับกันไม่ได้ว่าเฮงซวย แทนที่จะรุมด่าและหาทางทำให้มันดีขึ้น กลับหันไปด่าคนที่ด่าว่าเฮงซวย”
น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา นักเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง ให้สัมภาษณ์ Thai Voice กรณี “อิมเมจ” โพสต์ข้อความว่า เรื่องนี้โดนใจหลายๆคน เพราะเป็นปรกติเมื่อทุกคนรู้สึกไม่พอใจบริการสาธารณะก็จะสบถหรือด่า และเป็นความจริงว่าบริการสาธารณะรวมทั้งสภาพสังคมไทยทุกวันนี้เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ไม่ควรจะสิ้นหวัง เพราะถึงอย่างไรนี่คือบ้านที่เป็นชีวิตของทุกคน เราต้องอยู่กับมันและมีส่วนร่วมที่จะพัฒนาแก้ไข ไม่ใช่การลุกออกไปหรือไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองเพื่อแก้ปัญหา ขณะเดียวกันผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีบทบาทและมีอำนาจก็ควรจะเปิดใจกว้างรับฟังและยอมรับคนรุ่นใหม่ รวมทั้งรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองด้วย เพราะประเทศนี้คืออนาคตและคือบ้านของคนรุ่นต่อไป
ขณะที่นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานสภานิสิตจุฬาฯ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Thai Voice ตอนหนึ่งว่า “ความเฮงซวยมีอยู่ทั่วไปในสังคมนี้ การบังคับขู่เข็ญให้เชื่อ ให้คิด หากไม่ทำตามก็ถูกทารุณทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ มันคือความเฮงซวยของคนรุ่นเก่าที่เห็นแก่ตัวและมักง่าย และยังหน้าด้านกล้าพูดด้วยว่า “เป็นความโชคร้ายของคนรุ่นคุณ ขอให้โชคดี”
จากเฮงซวยถึง “ลัทธิชังชาติ”
นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Piyabutr Saengkanokkul (8 สิงหาคม) ว่า “ประเด็นเรื่องคนไม่พอใจการวิจารณ์ตำหนิประเทศชาติ จนคนเหล่านี้คิดชื่อ “ลัทธิชังชาติ” ขึ้นมาเพื่อใช้ต่อต้านตอบโต้นั้น น่าสังเกตว่าเมื่อก่อนไม่เป็นกันขนาดนี้ ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนต่างก็เคยด่าประเทศด่าชาติกันมาทั้งนั้น พวกที่ออกมาด่าคนวิจารณ์ประเทศเองต่างก็เคยด่าประเทศกันมาทั้งนั้นแหละ มากบ้างน้อยบ้าง แต่ทำไมในระยะหลังถึงมีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นเดือดเป็นร้อนเอามาก ทำไมถึงต้องด่าและไล่คนวิจารณ์ประเทศออกนอกประเทศ
ผมคิดว่าเรื่องนี้สัมพันธ์กับยุคสมัย คนกลุ่มนี้ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และกำลังสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจขึ้นมาใหม่เพื่อปลอบประโลมใจตนเอง เสมือนเป็น “ปม” ของคนกำพร้าพ่อ คนกลุ่มนี้จึงออกอาการเป็นพิเศษ มีปฏิกิริยาตอบโต้แรงเป็นพิเศษ
ถ้าเราเป็นปัจเจกบุคคลจริง เป็นผู้ทรงสิทธิจริง เป็นองค์ประธานจริง เราจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกันขนาดนี้ เพลงที่คุณนิติพงษ์ ห่อนาค แต่งว่า แต่ละคนเป็น “ก้อนดินไร้ค่า ไร้ความหมาย” ผมว่าเขาแต่งเก่ง แต่งได้ถูกเผงเลย”
“เฮงซวย” ฉบับ “ปิยบุตร”
วาทกรรม “ประเทศเฮงซวย” ยังไม่จบแค่นั้น เพราะก่อนหน้านี้ (5 สิงหาคม) นายปิยบุตรได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คกรณีไปรับภรรยาซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสที่ดอนเมือง และภรรยาได้ส่งรูปขณะยืนต่อแถวอยู่ที่ ตม. โดยมีคนประมาณ 2,000 คนยืนรอกันแน่นที่ทุเรศและทุลักทุเลที่สุด พร้อมกับบอกว่านี่หรือประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งภรรยาของตนเดินทางมาจากสิงคโปร์ สนามบินที่ดีที่สุดในโลก มาประเทศไทย สนามบินที่บริหารจัดการแย่ติดอันดับต้นๆของโลก โดยรวมแล้วต้องต่อแถวกว่าจะผ่านด่าน ตม. ตั้งแต่เที่ยงคืนรวม 4 ชั่วโมง 20 นาที ซึ่งเจ้าหน้าที่ ตม. บอกว่า ปัญหาเกิดจากเครื่องบินลงพร้อมกันหลายเที่ยว
นอกจากนี้นายปิยบุตรยังระบุว่า ตนและภรรยาไม่อยากอยู่ประเทศไทย ทั้งไม่มีวันให้ลูกเรียนและเติบโตที่นี่แน่นอน เพราะประเทศไทยเหมาะแค่การมาเที่ยว อีกทั้งการเมืองก็ดูไม่ฟื้นกลับมา คนรวยมีแต่รวยขึ้นๆ คนชั้นกลางก็ดิ้นรนอยู่ไปเรื่อยๆ คนจนก็จนลงดักดาน ในทางคุณภาพชีวิต สวัสดิการ การบริการมาตรฐานขั้นต่ำก็แย่ลงไปกว่าเดิม ในทางการศึกษาก็กลายเป็นธุรกิจต่อไป พวกที่อยู่ได้คือคนรวย เพราะที่นี่ให้อภิสิทธิ์และเป็นคอมฟอร์ทโซน ส่วนพวกที่หาหนทางออกไปไม่ได้ก็ต้องปรับตัวทนกันไป สงสารเยาวชนรุ่นใหม่ต้องมารับผลนี้ และเชื่อว่านี่ยังไม่ใช่จุดที่เลวร้ายที่สุด มันยังต่ำดิ่งลงกว่านี้ได้อีก
หลังการโพสต์ดังกล่าวปรากฏว่ารายการ “ฟ้าวันใหม่” ที่ดำเนินรายการโดยบุญยอด สุขถิ่นไทย และอัญชลี ไพรีรักษ์ ได้รายงานเชิงวิเคราะห์ทำนองว่า การโพสต์ของนายปิยบุตรที่แสดงความไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่และการจัดการสนามบินดอนเมืองคือแผนการและกระบวนการล้มล้างทำลายรัฐบาล คสช. สืบเนื่องสอดรับกับกรณีนายเนติวิทย์เมื่อวันก่อน (กรณีเหตุการณ์ระหว่างอาจารย์ระดับรองอธิการบดีล็อกนิสิตกลุ่มนายเนติวิทย์และใช้คำ “ไอ้สัสส” อ้างว่ากลุ่มนายเนติวิทย์พยายามป่วนวันปฐมนิเทศนิสิตใหม่ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณที่มีการ “หมอบกราบ” ณ ลานพระบรมรูป 2 รัชกาล)
แต่พิธีกรกลับปล่อยไก่โดยกล่าวในตอนท้ายว่า “ไปอยู่ที่ไหนมา ไม่รู้หรือว่าทักษิณโกงกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ” ทั้งที่กรณีนี้เป็นสนามบินดอนเมือง จนนายปิยบุตรบอกว่า การจัดการสนามบินดอนเมืองเซอร์เรียลเหลือเชื่อสุดๆแล้ว รายการข่าวนี้กลับเซอร์เรียลเหลือเชื่อกว่า แต่ที่ดราม่าต่อเนื่องคือ กรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้ออกมากล่าวถึงนายปิยบุตร (5 สิงหาคม) ว่า “คนไทยรับได้ไหม!? อาจารย์ ม.ดังร่ายยาวซัดประเทศเฮงซวย เส็งเคร็ง หลังเมียติด ตม.ดอนเมือง 5 ชั่วโมง ซ้ำ “วัฒนา” มาช่วยผสมโรง “เฮงซวยเพราะผู้บริหารห่วย”!!!”
นายปิยบุตรตอบนายสนธิญาณผ่านเฟซบุ๊ค (6 สิงหาคม) ว่านายสนธิญาณเอาไปเล่นเสียสนุก และคงได้ยอดไลค์ ได้คนมาเม้นต์ข่าวใน T News ก็ดีใจด้วย สำนักข่าวจะได้อยู่ไปนานๆ แต่อยากให้ช่วยไปลองดูความคิดเห็นของผู้โดยสารต่างชาติด้วยว่าเขาพูดกันอย่างไรบ้าง ลองดูเพจของบางกอกโพสต์ก็ได้ ทั้งยังฝากนายสนธิญาณเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรเมื่อประเทศเราต้องการหารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก และเป็นช่องทางเดียวที่นำรายได้เข้าประเทศมากที่สุด ทั่วถึงที่สุด ในยามสถานการณ์เช่นนี้ แต่เจอสนามบินแบบนี้จะทำอย่างไร แล้วที่ตนพูดมาเป็นปัญหาใช่หรือไม่ คนเดือดร้อนมากมายใช่หรือไม่ ถ้าไม่พูด คนไม่เอาไปกระจายต่อ ปัญหานี้จะถูกแก้ไขหรือไม่
“ส่วนเรื่องชาติไทย “ชาติ” ของผมกับคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม คงไม่เหมือนกัน ชาติไทยของผมคือชาติไทยที่เป็นประชาธิปไตย มีเสรีภาพ มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีคุณภาพชีวิตตามมาตรฐานขั้นต่ำในสิ่งที่เขาควรต้องได้รับ
ส่วนชาติไทยของคุณจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของคุณ เราเถียงกันได้
ผมรักชาติไทยไม่น้อยกว่าคุณและเจ้านายของคุณแน่นอน เพียงแต่เรานิยามชาติไทยไม่เหมือนกันเท่านั้น ถ้าชาติไทยเป็นเผด็จการ ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่เสมอภาค ไม่มีความเป็นธรรม คนรวยรวยเอา คนจนจนดักดาน คุณและพวกไม่ต้องไล่ผมหรอกครับ ผมไปแน่นอน
แล้วผมก็จะสู้เพื่อให้ชาติไทยเป็นแบบที่ผมและคนจำนวนมากต้องการ ถ้าถึงวันนั้นผมไม่ไล่คุณและพวกออกไปหรอกครับ มาอยู่ด้วยกันนี่แหละ เข้าใจกัน พัฒนาด้วยกัน”
เศรษฐกิจเฮงซวย?
วาทกรรม “เฮงซวย” ยังถูกขยายความไปอีกหลายประเด็น โดยเฉพาะบรรดา “คนดี” ที่รักชาติทั้งหลายที่พยายามอ้างความรักชาติว่าชอบไม่ชอบหรือหงุดหงิดเรื่องอะไรก็อย่ามาทำลายประเทศชาติ ไม่ควรชังชาติ ไม่ควรทรยศชาติ ไม่ควรขายชาตินั้น ก็มีคำถามว่า เมื่อประเทศอยู่ในสภาพที่วิกฤต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การบิดเบือนเรื่องศาสนาที่เป็นเรื่องของความศรัทธาก็ยังวิพากษ์วิจารณ์อะไรไม่ได้ แสดงความรู้สึกไม่พอใจอะไรก็ไม่ได้ แล้วปล่อยให้ประเทศชาติพังทลายหรือหายนะไปต่อหน้าต่อตานั้น ถือเป็นการรักชาติหรือไม่
โดยเฉพาะบรรยากาศที่ประเทศอยู่ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของรัฐบาลทหารที่มาจากการรัฐประหารขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะถูกประชาคมโลกบอยคอต ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังยอมรับเองว่าถูกต่างประเทศ “แบล็กลิสต์” ห้ามเข้าในฐานะหัวหน้า คสช. หรือหัวหน้าคณะรัฐประหารเพียงคนเดียว ทั้งยังโอดครวญขอให้เห็นใจบ้าง แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะบอกว่าวันนี้ต่างชาติยังค้าขายกับเราเหมือนเดิมก็ตาม
ภาพที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าประชาคมโลกส่วนใหญ่ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยนั้น เขาให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสิทธิความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ภายใต้กฎหมายที่เป็นธรรม แม้แต่การเลือกตั้งทุกคนก็มี 1 สิทธิ 1 เสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะจนหรือรวย จะมีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษา
ดังนั้น ประชาคมโลกจึงรังเกียจหรือไม่ยอมรับรัฐบาลทหารจากประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล สังคมโลกอาจไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ พล.อ.ประยุทธ์ หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นหัวหน้า คสช. หรือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการทำรัฐประหาร
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะปลดล็อกวิกฤตต่างๆของประเทศก็คือการกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย เพราะการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะนำพาบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ภาวะปรกติ ไม่ใช่ปล่อยให้ประเทศไปตามยถากรรม เพราะบริหารจัดการอะไรไม่ได้ เพราะสังคมโลกรังเกียจ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ซึมยาวและซึมลึก ไม่ว่ารัฐบาลทหารจะสร้างฝันตัวเลขสวยหรูอย่างไร แต่ภาวะข้าวยากหมากแพงที่คนรากหญ้าและเกษตรกรทุกข์ยากขณะนี้ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่าบ้านเมืองอยู่ในอาการโคม่า ไม่ใช่เพียงนักการเมืองหรือนักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น ล่าสุดนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยอมรับว่าวันนี้เศรษฐกิจไทยโตแบบกระจุกตัว การจ้างงานไม่เพิ่ม กำลังซื้อหด หนี้ครัวเรือนและภาคเกษตรวิกฤตกันถ้วนหน้า ส่วนคนชั้นฐานรากและเอสเอ็มอีก็เปราะบาง
นอกจากนี้ผลสำรวจความเชื่อมั่นของธนาคารออมสินระบุว่า คนเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท มีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจต่ำที่สุดในรอบ 1 ปี ส่วนศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ก็ระบุว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุดเดือนกรกฎาคมต่ำสุดในรอบ 7 เดือน บรรดานักวิชาการและนักธุรกิจฟันธงว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น
เสรีภาพเฮงซวย!
ยิ่งเรื่องสิทธิเสรีภาพยิ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยในสายตาขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจัดอันดับประเทศไทยอยู่ในอันดับใกล้เคียงกับเกาหลีเหนือคือมีเสรีน้อยจนไม่มีเสรีภาพ จึงไม่แปลกที่นานาชาติจะให้ความสำคัญกับคดีการเมืองขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นคดีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือนักโทษทางความคิดหลายคนที่ถูกจับกุมคุมขังขณะนี้ ไม่เว้นแม้แต่ “ไผ่ ดาวดิน-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา” นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ถูกขังเพราะแชร์ข่าวของ BBC ในขณะที่ BBC ไม่ถูกดำเนินคดี
หรือกรณีนายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ เจ้าของรางวัลเสรีภาพสื่อนานาชาติประจำปี 2017 คณะกรรมาธิการปกป้องสื่อระหว่างประเทศ (ซีพีเจ) ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในข้อหายุยงปลุกปั่นหรือละเมิดมาตรา 116 จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค ซึ่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ได้เดินทางไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีคณะผู้แทนจากสถานทูตต่างๆ รวมถึงองค์กรด้านกฎหมายระหว่างประเทศและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติติดตามไปให้กำลังใจ
ภาพที่ปรากฏยิ่งสะท้อนถึงฐานะของประเทศไทยขณะนี้ว่าเป็นอย่างไรในสายตาประชาคมโลก ขณะที่ “ทั่นผู้นำ” ก็ยังตัดพ้อน้อยใจฝ่ายต่างๆที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หรือต่อต้านนโยบายหรือการใช้อำนาจของรัฐบาล อย่างที่กล่าวตอนหนึ่งในโครงการประชารัฐปลูกต้นไม้ให้แผ่นดินที่ จ.พระนครศรีอยุธยา (7 สิงหาคม) ว่า
“ไอ้ใครที่บอกว่าจะลดโน่นลดนี่ ลดโครงการ 30 บาทหรือบัตรทอง พามาหาผมหน่อย นิสัยแบบนี้ไม่ยอมเลิก เล่นไม่เลิก ผมจะทำให้เต็มที่ จะถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น ผมว่าเป็นลิขิต ที่ผมมายืนตรงนี้เพราะถูกลิขิตมา อะไรจะเกิดต่อไป จะเป็นลิขิตของประเทศไทยว่าจะเจริญหรือไม่เจริญ จะล่มสลายหรือไม่ล่มสลาย อยู่ที่มือคนไทยทุกคน”
รักชาติต้องทน “เฮงซวย” เพื่อชาติ?
การที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงการอยู่ในอำนาจว่าจะอยู่ยาวหรือไม่ว่า “จะอยู่ถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น ผมว่ามันเป็นลิขิต” นั้น นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่งกับปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับประเทศและสังคมไทยขณะนี้ วลีสั้นๆว่า “ประเทศเฮงซวย” บ่งบอกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่คนไทยหลายสิบล้านคนไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ เพราะคนที่กล้าพูด กล้าแสดงออก และกล้าวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าไม่ถูกข่มขู่คุกคามก็ถูกเรียกไปปรับทัศนคติหรือถูกตั้งข้อหาต่างๆ รวมถึงถูกจับกุมคุมขังด้วยข้อหาสารพันจากกฎหมายที่หลายครั้งตีความตามใจผู้มีอำนาจ
จึงไม่แปลกที่จะเกิดปรากฏการณ์ “อิมเมจ เดอะวอยซ์” กับวาทกรรม “ประเทศเฮงซวย” หรือเสียงบ่นดังๆเรื่องความเฮงซวยของ ตม.ที่ดอนเมืองได้ไม่ยาก ถือเป็นการพูดที่คนไม่น้อยอยากพูด แต่ไม่กล้า
ดังนั้น หากสังคมวันนี้วิพากษ์วิจารณ์ประเทศก็ไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐที่ให้บริการประชาชนก็ไม่ได้ วิจารณ์เศรษฐกิจก็ไม่ได้ เจอเรื่องเฮงซวยจะบ่นว่า “เฮงซวย” ก็ไม่ได้ เพราะอาจโดนข้อหาไม่รักชาติ ไม่รักประเทศ
ยิ่งการวิพากษ์วิจารณ์ “ทั่นผู้นำ” ยิ่งเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะ “ทั่นผู้นำ” ในระบอบพิสดารได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ผมมายืนตรงนี้เพราะถูกลิขิตมา”
แปลง่ายๆว่า ไม่ได้มาเอง ไม่ได้อาสามา ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งมา “ทั่นผู้นำ” จึงไม่ใช่ “บุคคลสาธารณะ” ที่ใครจะไปวิจารณ์ส่งเดชได้
โปรดท่องจำให้ขึ้นใจว่า ประเทศนี้มีแต่เรื่องดี มีแต่คนดี ไม่มีอะไร “เฮงซวย” เลย
ถ้าใครยังกล้าคิดว่า “ประเทศนี้เฮงซวย” แสดงว่าคนนั้นเองนั่นแหละที่เฮงซวย เพราะมันไม่รักประเทศ..
ฉะนั้น..จงไสหัวออกไปให้พ้นจากแผ่นดินไทย!!??
You must be logged in to post a comment Login